เทศน์บนศาลา

เสียสละเพื่อธรรม

๒๑ ก.พ. ๒๕๕๑

 

เสียสละเพื่อธรรม
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี


ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจนะ โอกาสอย่างนี้หาไม่ได้หรอก หลวงปู่มั่นนะ เวลาท่านออกประพฤติปฏิบัติ ไม่มีครู ไม่มีอาจารย์ แสวงหาเอง ไปทั่วเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ไปทุกประเทศเลย เพราะเป็นชาวพุทธด้วยกัน ไปแสวงหานะ เนี่ยตำรับตำรามี ตำรับตำรามี เวลาศึกษาไปแล้วมันก็ยิ่งงงนะ มันงงเพราะอะไร เพราะว่าเราศึกษา เรามีกิเลส เรามีความเห็นของเรา มีการเห็น มีการตีความ มันเป็นความเห็นของเราตลอดไป โอกาสอย่างนี้หายากมาก โอกาสเห็นไหม เราทุกคนเกิดมาต้องมีหน้าที่รับผิดชอบทุกคน

ทุกคนต้องมีหน้าที่รับผิดชอบ เกิดมาเป็นมนุษย์เสมอกัน ประชาธิปไตย ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพเสมอกัน แล้วมันเสมอจริงไหมล่ะ ทางโลกเสมอจริงไหม คนเสียงดัง คนเสียงเบามีนะ คนเสียงดัง เสียงเขาใหญ่เสียงเดียวเหมือนกัน ทุกอย่างเสียงเหมือนกัน แต่เขาคุมเสียงต่อๆ กันไปมหาศาลเลย นี่โลกสมมุติสมมุติกันอย่างนั้น สมมุติบัญญัติ สมมุติบัญญัติเป็นอย่างนี้ แต่ความจริงล่ะ ความจริงสุขทุกข์รู้กันทั้งนั้นน่ะ มองตากันนี่รู้เลย สุขหรือทุกข์ แต่เก็บไว้ในหัวใจไง มารยาทสังคมก็ว่ามีสุขไหม สบายดีไหม สบายดีครับ สบายดีๆ ด้วยกลัวเสียมารยาท ทั้งๆ ที่หัวใจมีความทุกข์ ก็เก็บไว้ในใจ นี่มันไม่เป็นความจริง

ถ้าเป็นความจริงนะทุกข์ไหม ทุกข์ทั้งนั้น เพราะอริยสัจทุกข์เป็นความจริง สิ่งที่เกิดขึ้นมาทุกข์ทั้งนั้นน่ะ แต่มันปฏิเสธไม่ได้ มันปฏิเสธไม่ได้ว่าวัฏฏะมันเป็นอย่างนี้ เราเป็นสิ่งที่มีชีวิตใช่ไหม จิตความรู้สึกอันนี้ ดูสิ ขยะเขาทำรีไซเคิลนะ เขาทำเอามาใช้ประโยชน์ ทุกอย่างเอามาใช้ประโยชน์ ร่างกายมนุษย์ยังใช้ประโยชน์ได้เลย อวัยวะปลูกถ่ายกัน แล้วมาเปลี่ยนกันได้ อวัยวะเนี่ย แต่ความรู้สึกน่ะ หัวใจมันเปลี่ยนถ่ายกันได้ไหม หัวใจเปลี่ยนถ่ายไม่ได้ยกเว้นแต่ธรรมะเท่านั้น

ธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าไปแก้ไข เวลาองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นขึ้นมานะ แล้วจะรื้อค้นขึ้นมา มันละเอียดอ่อน แค่ความรู้สึกกับร่างกายเรา มันก็เห็นความต่างแล้ว ความรู้สึกมันเป็นนามธรรม แล้วมันเจ็บปวดอะไรกัน ความรู้สึกนี้เจ็บปวดหรือ มันกลับเจ็บปวดนะ เวลาสุขมันก็สุขมาก เวลามันสุขมันพอใจเห็นไหม ดูสิคนพลัดพรากจากกันมา แล้วมาพบกันน้ำหูน้ำตาไหลนะ ดีใจร้องไห้ กอดคอกันร้องไห้ ความสุข สุขจนรั้งความรู้สึกตัวเองไว้ไม่ได้เลย ความสุขของใจเห็นไหม

แล้วความทุกข์ล่ะ ความทุกข์มันเป็นความจริงนะ เราเป็นความจริง เราเกิดมาในพุทธศาสนา องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ แล้วนี่ทะเบียนบ้านเราเป็นชาวพุทธกัน เราลงทะเบียนบ้านว่าเราเป็นชาวพุทธ แล้วชาวพุทธพุทธที่ไหน พุทธที่ทะเบียนบ้าน แล้วหัวใจเป็นชาวพุทธไหม ถ้าหัวใจเป็นพุทธนะ พุทธคือพุทธะคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พุทธะคือหัวใจ พุทธะคือความรู้สึก พุทธะมันอยู่ที่นี่ พุทธะมันไม่ได้อยู่ที่ทะเบียนบ้านเฉยๆ แต่พฤติกรรมมันไม่ใช่ชาวพุทธ พฤติกรรมมันเป็นไสยศาสตร์ มันเป็นไปตามโลกหมดเลย ไปกับโลก โลกเขาเป็นชาวพุทธไหม มันไม่เป็นชาวพุทธ

ชาวพุทธนะ ศีล สมาธิ ปัญญา เรามีศีลไหม เรามีความปกติของใจไหม ถ้าใจมีปกตินะ ชีวิตเราจะไม่ลุ่มๆ ดอนๆ อย่างนี้ ชีวิตของเราเห็นไหม ด้วยกรรมเก่ากรรมใหม่นะ สภาวะกรรมมันเป็นอย่างนี้ คนเราทำมาเห็นไหม ดูสิวันๆ ชีวิตประจำวันเราทำอะไรบ้าง เราตื่นขึ้นมา เราต้องชำระล้างร่างกายเราแล้ว เราต้องหาอาหารให้แล้ว สิ่งนี้เราไม่ชำระล้าง มันจะสะอาดไหม ของเสียมันขับออกมาตลอดเวลา ความเป็นไปของชีวิต มันเป็นอย่างนี้ ถ้าความเป็นไปของชีวิต แล้วความสะอาดของใจล่ะ

ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันอยู่ที่หัวใจ มันแสดงออกมา มันเหม็นคลุ้งไปหมดเลย เหม็นคลุ้งเพราะอะไร เวลาทำความชั่ว เวลาทำความผิดพลาดขึ้นไป สังคมเขาไม่ยอมรับ กลิ่นของศีลมันหอมทวนลม แต่กลิ่นของกิเลส กลิ่นของการเอารัดเอาเปรียบกัน มันเหม็นทวนลม มันเหม็นไปนะ เกียรติศักดิ์ เกียรติคุณเห็นไหม ชื่อเสียงมันเป็นไปทั้งนั้นน่ะ แล้วทำความดีล่ะ ถ้าความดี ความดีเพื่อใคร ความดีทำกันไม่ได้นะ ความดีทำขึ้นมาแล้วเป็นคนเสียเปรียบ เนี่ยกิเลสมันทำลายเราขนาดนี้ กิเลสมันทำลายเราตลอดนะ

เราเป็นชาวพุทธ วันนี้เป็นวันสำคัญทางศาสนา ตั้งแต่เราประพฤติปฏิบัติมานะ ถ้าเป็นวันสำคัญทางศาสนาจะถือเนสัชชิก จะไม่นอน เวลาบุกเบิกขึ้นมา หลวงปู่มั่นครูบาอาจารย์ท่านต้องเอาตัวท่านเองเข้าพิสูจน์ตรวจสอบ พิสูจน์ตรวจสอบนะ พิสูจน์ด้วยความเห็นของตัว พิสูจน์ด้วยข้อเท็จจริงในหัวใจ ข้อมูลจริงในหัวใจ ดูสิเวลาจิตสงบมันขนาดไหนเห็นไหม จิตสงบเพราะเป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาพุทธภูมิเหมือนกัน สงบขนาดไหน มันเข้าถึงมรรคญาณไม่ได้ พอมันเข้าถึงมรรคญาณไม่ได้ มันย้อนออกมากลับมาเป็นจิตปกติ มันก็เหมือนเดิม

มันเหมือนเดิมจนถึงสุดท้าย มาหาเหตุหาผลของตัวเอง แล้วมาลาโพธิสัตว์ก่อน ลาโพธิสัตว์เพราะสร้างบุญกุศลมา พอสร้างบุญกุศลมามันถึงมีโอกาสได้ค้นคว้าไง เพราะเราเกิดมามีอำนาจวาสนานะ มีผู้ที่บุกเบิก บุกเบิกเห็นไหม ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ การสนทนาธรรมเป็นมงคลอย่างยิ่ง มงคล ๓๘ ประการ แล้วเวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการ นี้มงคล มงคลเพราะอะไรเพราะประสบการณ์ของใจ ใจประสบการณ์เข้าไปเห็นไหม งานที่เราอาบเหงื่อต่างน้ำทุกคนว่าเราทุกข์ทั้งนั้นน่ะ ทุกคนว่าทุกข์นะ

ดูนักกีฬาสิ เวลาเขาซ้อมกีฬาขึ้นมาเหงื่อเขาออกมากกว่าเราอีก แต่เขาทำไมเขามีความพอใจของเขาล่ะ เพราะอะไร เพราะเขาได้ฝึกฝนของเขามา พอฝึกฝนมาร่างกายเราทนทานได้ ร่างกายเขาแข็งแรงของเขา เขาฝึกซ้อมของเขา เวลาเหงื่อไคลเขามากกว่าเราอีก แล้วเป็นอาชีพของเขา นักกีฬามืออาชีพ เขาจะมีผลประโยชน์ตอบแทนมหาศาลเลย แต่เวลาทำของเราว่าสิ่งนี้เป็นทุกข์ๆ มันเป็นทุกข์ทั้งนั้นน่ะ มันเป็นทุกข์เพราะเราคิดว่าเป็นทุกข์ไง แต่ถ้าเรามีเป้าหมายนะ เราอยากจะพ้นจากทุกข์ เกิดมานี่น้ำตาตกในนะ น้ำตานี่ไหลนะ

องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงไว้ในธรรมนะ มนุษย์เราเกิดมา สิ่งที่ร้องไห้เราเก็บไว้ๆ ในชีวิตประจำวันนี่มากกว่าน้ำทะเลอีก เพราะอะไร เพราะการเกิดและการตายไม่มีต้นไม่มีปลาย มันยาวไกลนักนะ เราเกิดมาเห็นไหม ตั้งแต่ชีวิตนี้ เดี๋ยวเราก็แก่เฒ่าไป เราก็จะตายไป แล้วก็หมดอายุไป แล้วคิดว่าหมดนะ ถ้าหมดนะ คนเกิดมาจากท้องพ่อแม่เดียวกัน นิสัยต้องเหมือนกัน เพราะเกิดมาจากเบ้าหลอมเดียวกัน แต่ทำไมนิสัยไม่เหมือนกัน นิสัยของลูกเราที่ไม่เหมือนกัน นิสัยของพ่อแม่ก็ไม่เหมือนกัน

แล้วก็อยู่ที่วิบากของกรรม กรรมเวลามันให้ผลขึ้นมา มันทำให้เราคลอนแคลนไปตามอำนาจของกรรมนั้น อำนาจของกรรมนะเห็นไหม สิ่งที่อำนาจของกรรม มันให้ผลมา เราไม่มีหลักมีเกณฑ์ของเรา แต่ถ้าเราศึกษาธรรมล่ะ เราศึกษาธรรมนะ ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าพิสูจน์มาแล้ว พิสูจน์สิ่งนี้มาหมดแล้ว พิสูจน์ขึ้นมาเพราะมันละเอียดลึกซึ้ง ละเอียดลึกซึ้งมาก สมบัตินี่อริยทรัพย์ ทรัพย์ภายนอกนี่นะ เจือจานกันได้นะ ใครอัตคัดขาดแคลนช่วยเหลือเจือจานกันได้

แต่เวลาประพฤติปฏิบัติเห็นไหม องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก เราเป็นคนชี้ทาง นี่ไง เราเป็นคนชี้ทางนะ เราต้องหาของเราเอง สมาธิไม่มีขาย ปัญญาไม่มีขาย ฝึกฝนขึ้นมาได้ เวลาศึกษาเล่าเรียนกัน นั่นน่ะเป็นธุรกิจ ธุรกิจอย่างนั้นมันก็เป็นธุรกิจที่ว่า เขาช่วยเหลือเจือจานกันได้ มันเป็นเรื่องโลกๆ เรื่องโลกๆ เจือจานกันทั้งนั้น มันเจือจานกันมันเป็นไป ถ้าใจเป็นธรรมนะ แต่ถ้าเรื่องอริยทรัพย์จากภายใน มันต้องเกิดขึ้นมาจากเรา เพราะกิเลสมันอยู่กับเรานะ กิเลสมันรู้ทันหมด เราทำสิ่งใดนี่กิเลสรู้ทันหมดเลย เพราะกิเลสทำให้คิด

แม้แต่ทำความดีกิเลสก็พาให้ทำ กิเลสพาทำไปก่อนเห็นไหม ที่ว่ามีความอยากทำไม่ได้ ถ้ามีความอยากทำไม่ได้ มันก็ต้องอยากในเหตุในผล ไม่ใช่อยากในเหตุในการกระทำนั้น ถ้าอยากในผลเห็นไหม ตัณหาความทะยานอยาก ตัณหาซ้อนตัณหา แต่โดยสัญชาตญาณของเรา มันมีอยู่แล้ว มันมีอยู่แล้ว ถึงจะต้องมีสติสัมปชัญญะควบคุมมัน ควบคุมใจเรานะ นี่มันเป็นการยืนยันในศาสนา วันมาฆบูชาเห็นไหม ขนาดที่เอหิภิกขุ องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าบวชให้ทั้งนั้นนะ พระที่มาสโมสรสันนิบาตเป็นองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าบวชให้ บวชให้นะ บวชทั้งกายแล้วบวชทั้งใจ

บวชใจบวชอย่างไร เราเห็นพิธีการเห็นไหม เขาบวชพระกัน แห่กันไปบวช บวชมหาศาลเลย บวชมาแล้วประพฤติปฏิบัติกันไหม เนี่ยบวชแต่กาย ไม่บวชหัวใจ ถ้าไม่บวชหัวใจชำระกิเลสไม่ได้ สมมุติสงฆ์ สงฆ์โดยสมมุติ สิ่งที่เป็นสมมุติเห็นไหม แล้วสงฆ์ที่เป็นอริยสงฆ์ล่ะ สงฆ์อริยสงฆ์เกิดจากไหน ดูนางวิสาขาสิไม่ได้บวชนะเป็นพระโสดาบัน จิตตคฤหบดีเห็นไหม เป็นพระอรหันต์ สิ่งที่เป็นพระอรหันต์ เป็นคฤหัสถ์นะ แต่ของเขาเขาทำของเขา เขาสร้างสมบุญญาธิการของเขามา

สิ่งที่สร้างของเขาขึ้นมา ดูปัญญาของเรานะ เรามองภาพอันหนึ่ง เรามองเหตุการณ์อันหนึ่งเห็นไหม มุมมองของคนต่างๆ กันไปทั้งนั้นเลย บางคนสยดสยองมาก บางคนสะใจ ใจของคนมันหยาบต่างๆ กันเห็นไหม สิ่งที่หยาบต่างๆ กัน สิ่งนี้มันเป็นไปตามความรู้สึก แล้วความรู้สึกนี่ไม่มีสิ่งใดๆ จะไปตรวจสอบได้ เว้นไว้แต่ธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ามีธรรมเข้าไปตรวจสอบนะ มันเข้าไปในอะไร เข้าไปตรวจสอบใจของเราเอง เราพิสูจน์จากใจเรา ใจเราพิสูจน์มีสิ่งใดเกิดขึ้นกระทบกระเทือนขึ้นมา เรามีความรู้สึกอย่างไร เรามีความคิดอย่างไร

ถ้าเรามีความคิดนะมีใจที่เป็นธรรมนะ มันจะสลดสังเวชนะ เนี่ยปลงธรรมสังเวช เวลาปลงธรรมสังเวช มันเป็นธรรม มันสังเวช เวลาเขาปลงธรรมสังเวช แต่เราคิดว่า มันสะเทือนใจไง เพราะใจเราเป็นธรรม เพราะกิริยาเนี่ยมันเป็นเรื่องของโลกๆ มันเป็นได้ทั้งนั้นน่ะ ปลงธรรมสังเวช แต่เราไม่ไปปลงธรรมสังเวชสิ เราเป็นความสะใจ เราเป็นความพอใจ เพราะเราพอใจ เราอยากได้ของเรา อยากได้ตามกิเลส มันเลยไม่เป็นธรรม ถึงต้องมีศีล ศีลทำให้ใจเป็นปกติ ถ้าใจมันปกตินะ เนี่ยถ้ามีศีล ศีลบังคับใจ ถ้าเกิดสมาธิจะเป็นสัมมาสมาธิ

ถ้าไม่มีศีลนะ คนเราถ้าจิตใจมันเข้มแข็ง จิตใจแก่กล้านี่ เขาทำสมาธิของเขาได้เหมือนกัน แต่มันเป็นมิจฉานะ ถ้าเป็นมิจฉาเห็นไหม ดูสิ เขาทำร้ายกันได้ เขาใช้คุณไสยเขาใช้ต่างๆ เขาทำลายกัน นั่นมันมาจากไหน เพราะอะไรเพราะไม่มีศีล มีศีลทำอย่างนั้นไม่ได้ ถ้าทำอย่างนั้นไม่ได้เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าศีล สมาธิ ปัญญาเนี่ย ปัญญาเนี่ย ปัญญาที่คุยกันมากว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา แต่ปัญญาที่เขาใช้กัน มันปัญญาของกิเลสพาใช้

ถ้ากิเลสพาใช้เห็นไหม ความคิดต่างๆ ถ้ามันใช้ปัญญาขนาดไหน มันเอารัดเอาเปรียบตัวเองก่อนนะ เอารัดเอาเปรียบตัวเราเองเห็นไหม ชีวิตเราเกิดมา ถึงที่สุดนะต้องตายไป แล้วทรัพย์ที่ติดมือไปนี่ มันมีความดีและความชั่วเท่านั้นน่ะที่ติดหัวใจนั้นไป ถ้าความดีความชั่วติดหัวใจเราไป มันสลดสังเวชไหมว่าเราเกิดมานี่เราทำอะไรของเราบ้าง ถ้าเราเกิดของเรามา เราสร้างของเรา เราตั้งใจของเรา เราทำความดีของเรานะ ความดีของเรานะ ความดีเพื่อดีของเรา ไม่ใช่ความดีเพื่อโลก กระแสของโลก มันเป็นเรื่องของโลกๆ เนี่ยพวกใคร ทำตามความพอใจของเขา

ดูสิ ดูเวลาสัตว์มันแบ่งพรรคแบ่งพวก แล้วมันยกพวกกัดกัน ทำลายกันเห็นไหม สัตว์มันยังแบ่งพรรคแบ่งพวกเลย แล้วของเราความดีของใคร ความดีของเราเพื่อประโยชน์ของหมู่คณะหรือ แต่ถ้าเป็นความดีในธรรมนะ ไม่มีหมู่มีคณะ มันความดีเสมอภาค ความดีเป็นสัจจะความจริง ความดีอย่างนี้ มันเป็นความดีให้เราสร้างบารมี ถ้าสร้างบารมีขึ้นมา ถ้ามันเป็นความดีจากภายในนะ เราจะมีสติสัมปชัญญะ เห็นสิ่งใดๆ มันจะสะเทือนใจ ถ้ามันสะเทือนใจนะ เราจะไม่ทำอย่างนี้ โลกเขาทำกันเราจะไม่รังแกกันอย่างนี้ เราจะเจือจานเขาอย่างนี้

สิ่งนี้เราเก็บหอมรอมริบได้ เราไปในทางนี่นะ ถ้าใจเป็นธรรมนะเห็นสภาวะอย่างใด มันจะกลับย้อนมาที่หัวใจ ถ้าย้อนกลับมาที่หัวใจใช่ไหม นี่คนมีหลักมีเกณฑ์ ถ้าคนมีหลักมีเกณฑ์ มันไม่เอียงไปตามกระแสนะ คนเรานี่ไม่มีหลักมีเกณฑ์ กระแสสิ่งใดมา คนไหนมีอำนาจดึงชักจูงเราไปจะไปกับเขาหมดเลย แล้วไปกับเขาเชื่อเขาได้ไหม มันเชื่อไม่ได้ องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้เชื่อธรรม ถ้าเชื่อธรรมเห็นไหม สิ่งที่เชื่อธรรมเป็นสัจจะความจริงนะ ถ้าเชื่อธรรม ธรรมอยู่ไหน

ถ้าธรรมมันอยู่ที่ไหน ศึกษามาศึกษามาโดยกิเลส เวลากิเลสศึกษาธรรมเนี่ยศึกษาโดยกิเลส กิเลสมันก็ตีความหมาย ตีความหมายอะไร ตีความหมายเข้าตัวเอง เนี่ย ว่ามีความอยากไง ความอยากถ้าจิตยังไม่ลงเป็นสมาธินะ ความเห็นของเราจะเป็นความเห็นของเรา แม้แต่จิตเป็นสมาธิเวลาวิปัสสนาไป เดี๋ยวสมาธิอ่อนลงนี่เห็นไหม กิเลสมันมีอำนาจเหนือกว่าขึ้นมาแล้ว ถึงจะต้องให้มันเบาบางลง เบาบางลงนะ ให้กิเลสเบาบาง ให้เราหายใจได้ ดูสิเวลาเรานอนหลับพักผ่อนเห็นไหม ถ้าเรานอนหลับสนิท เราตื่นขึ้นมาร่างกายเราสดชื่นไหม แต่ถ้าเรามีความทุกข์ เรานอนไม่หลับ คิดดูสิว่าร่างกายเราจะทรุดโทรมขนาดไหน

จิตนะถ้ามันได้พักสมาธิขึ้นมา มันจะสร้างสมบุญญาธิการของมัน มันจะมีพื้นฐานของจิตให้มีกำลังขึ้นมา ถ้าจิตมีกำลังขึ้นมาเห็นไหม เราจะวินิจฉัย มองภาพเหตุการณ์ต่างๆ ต่างกับจิตที่มันฟุ้งซ่าน จากจิตที่ไม่มีกำลังเลยเห็นไหม มันถึงต้องตั้งสติไง มันถึงต้องตั้งสติ ทำใจเราให้ได้พักผ่อน พักนะ ถ้าจิตมันไม่ได้พักเลยนี่ ดูเครื่องยนต์สิ เครื่องยนต์ถ้าติดเครื่องแล้วไม่ดับเลยเห็นไหม เครื่องยนต์นั้นจะมีความเสียหายไหม มันจะเสียหายนะ ถ้าเครื่องยนต์เขาติด เขาทำงานของเขา ได้ผลประโยชน์ของเขา เขาพักของเขา

จิตก็เหมือนกัน คนเราเกิดมามันต้องมีการพักผ่อนนอนหลับ มันถึงจะพอดำรงชีวิตอยู่ได้ แล้วถ้าจิตเราทำสมาธิขึ้นมา มันมากกว่าพักผ่อนนอนหลับ เพราะพักผ่อนนอนหลับ เราไม่สามารถควบคุมได้ เรานอนไม่ได้ เขาก็หายามาเพื่อจะให้นอนหลับเห็นไหม ถ้าคนเคยนอน เคยทำได้ มันก็เป็นไป มันเป็นของเขานะ แต่ถ้ามันเป็นสมาธิ มันไม่เป็นอย่างนั้น คิดดูสิ สติเรารู้อยู่ตลอดเวลา เรารู้อยู่ตลอดเวลานะ เนี่ยละเอียดเข้ามา ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ คนที่นอนหลับอยู่แต่มีสติอยู่ มันหลับอย่างไร

สมาธิเป็นอย่างนี้นะ สมาธิคือมันจิตได้พักผ่อน ถ้าจิตมันได้พักผ่อนขึ้นมา มันมีสติตลอด มันจะสดชื่นมาก มีสมาธิจะมีความสุขมาก ถ้ามีความสุขอย่างนี้ ความสุขนี่เกิดมาจากไหน ความสุขนี่เกิดมาจากแสวงหาภายนอกหรือ เราไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน เราไปหาที่ไหนก็ไม่เจอ ความสุขของโลกนี่มันเป็นอามิส สิ่งที่อามิสคือมันมีเครื่องล่อ แล้วคนมันตามจริตนิสัย ใครชอบสิ่งใด ใครได้เสพสิ่งนั้นก็ว่าเป็นความสุข เขาว่าเป็นความสุขนะ คนที่เขาไม่มีจริตนิสัยอย่างนั้น เขาไปเห็น เขาไปเสพสิ่งนั้นกันอยู่ เขาว่าพวกนี้มีความสุขได้อย่างไรเห็นไหม

โลกมันเป็นสภาวะแบบนั้น เราถึงหาความสุขจากข้างนอก ไม่มีหรอก เพียงแต่ว่ามันชอบใจ มันชอบกิเลสไง กิเลสมันชอบสิ่งใด ได้ผลตามกิเลสแล้ว มันว่าสิ่งนั้นเป็นความสุข แต่ถ้ามันปล่อยวางเข้ามานะ จะโดยใครก็แล้วแต่ จะหยาบจะละเอียดขนาดไหนก็แล้วแต่ ถ้าจิตมันได้ปล่อยวางสิ่งที่เป็นอารมณ์ที่มันแบกหามไว้ อารมณ์ความรู้สึกเห็นไหม มันเป็นภาระที่จิตมันต้องคิดต้องใคร่ต้องครวญ ต้องทำงานอยู่ตลอดไป แล้วถ้ามันปล่อยวางเข้ามา ปล่อยวางเข้ามาเห็นไหม ปล่อยวางเข้ามาเป็นอิสระของตัวเขาเอง จิตมันจะอิสระเป็นตัวของเขาเองนะ

แต่ตอนนี้สิ่งที่เขาประพฤติปฏิบัติกันอยู่นี่ เขาไม่ได้คิดอย่างนี้ เขาคิดว่าเขาต้องรู้ให้มากโลกเห็นไหม เขาต้องศึกษาให้มาก รู้ให้มากเพื่อใช้ปัญญาเห็นไหมว่า ใช้ปัญญาเพื่อเป็นการหาผลประโยชน์กับตัวเอง แล้วปัญญาอย่างนั้น ปัญญาสร้างเวรสร้างกรรมนะ แต่ถ้าจิตสงบเข้ามานะ จะเป็นตัวของจิตเอง ถ้าจิตสงบเข้ามานะ ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าไม่มีสมาธินะ โลกุตตรปัญญามันเกิดไม่ได้ มันเป็นโลกียปัญญา ปัญญาที่ใช้กันอยู่นี่เป็นโลกียปัญญา คือปัญญาโลกไง โลกคืออะไร โลกคือหมู่ตัว หมู่สัตว์คืออะไร สัตตะผู้ข้อง สัตตะคือจิต เนี่ยหมู่สัตว์คือสัตว์เพราะอะไร

เพราะจิตมันเกิดมันตายนะ จิตเนี่ยเราเกิดเป็นมนุษย์ชาติเดียวหรือ มันเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เป็นสัตว์ไหม เนี่ยสัตว์มนุษย์ ขณะนี้เป็นสัตว์มนุษย์ ถ้าสัตว์มนุษย์เนี่ยสัตว์มนุษย์มันมีอะไร มีกายกับใจ เพราะร่างกายต้องใช้อาหาร ร่างกายต้องมีอาหารหล่อเลี้ยงตลอดไป แล้วก็มีหัวใจด้วยเห็นไหม มันถึงเห็นทุกข์ได้ชัดเจนไง เวลาไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมน่ะ เขาก็เป็นสัตว์ วัฏฏะนี่เป็นสัตว์ทั้งนั้น แต่เป็นสัตว์อย่างนั้น แต่เขาเป็นทิพย์ไง เขาไม่มีร่างกายนะ ร่างกายเขาเป็นทิพย์ อาหารเขาเป็นทิพย์หมด สิ่งที่เป็นทิพย์เขาไม่มีความหิวโหยอย่างนี้บีบคั้น ถ้าไม่บีบคั้นเห็นไหม ชีวิตเขาเพลินไปอย่างหนึ่ง

ถ้าเกิดนรกอเวจีล่ะ ลงนรกอเวจีเห็นไหมก็เป็นจิตอันหนึ่ง จิตอันหนึ่งก็เสวยทุกข์ เวลาอยู่ในวาระของเขา แต่จิตนี้ไม่เคยตาย ในปัจจุบันนี้เรามาเกิดเป็นมนุษย์เห็นไหม เราเกิดเป็นมนุษย์ สิ่งที่เป็นภาระหน้าที่ เพราะเราเกิดขึ้นมาแล้วมันอยู่ที่คนหยาบละเอียด ถ้าคนหยาบเขาไม่เชื่อ ไม่เชื่อสิ่งใดๆ เลยเห็นไหม ไม่เชื่อ นี่เป็นอำนาจวาสนาของเขา เพราะคนทำเหตุการณ์ต่างๆ เข้ามา มันมีผลดีและผลชั่วในการกระทำนั้น

แต่ถ้าคนเชื่อ คนเชื่อนี่เขาทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กับเขา ถ้าสิ่งที่เป็นประโยชน์กับเขาเห็นไหม สิ่งที่เป็นประโยชน์ หนึ่ง สบายใจ เพราะเราไม่ทำสิ่งที่เป็นความเศร้าหมองกับจิต เราไม่ทำสิ่งใดที่เป็นความเศร้าหมองกับใจเลยเห็นไหม แต่ถ้าเรามีความเชื่อ พอจิตมันมีฐานขึ้นมา ถ้าจิตมีฐานขึ้นมา มันตั้งความสงบของใจเข้ามา สุขอื่นใดเท่ากับความสงบของใจไม่มี จิตนี้เวลามันสงบเข้ามา แค่สมาธิเนี่ย ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติถึงบอกเข้าเป็นสมาธิแล้วว่าสิ่งนี้คือนิพพานไง เพราะวุฒิภาวะของจิตมันไม่มี

พอวุฒิภาวะของจิตมันไม่มี แค่ความสงบของใจก็ว่าสิ่งนี้เป็นนิพพาน ยิ่งจิตสงบเข้าไปแล้วเห็นแสงสว่าง เห็นสิ่งต่างๆ ที่เขาบอกว่านิพพานเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ ไม่ใช่หมดเพราะอะไร เพราะมันเป็นของคู่ ว่างคู่กับไม่ว่าง สิ่งสว่างคู่กับมืด เกิดคู่กับตาย โลกนี้เป็นของคู่หมด สิ่งที่ของคู่มันถึงเป็นวัฏวน มันถึงวนไป จิตเราถึงต้องวนไป มีองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นไก่ตัวแรกเจาะฟองไข่คืออวิชชา สิ่งที่อวิชชาเนี่ยมันห่อหุ้มจิตอยู่ จิตนี้จึงหมุนไปด้วยอวิชชา จิตเนี่ยเกิดๆ ดับๆ ตามธรรมชาติของจิตอย่างนี้ มารถึงปกครองโลก ปกครองโลกทั้งหัวใจของเราด้วย

หัวใจของเรานะ เราเกิดมานะ เราเกิดมามันเป็นผลของวัฏฏะนะ ผลของวัฏฏะคือผลของจิตที่มันทำคุณงามความดีมา เกิดเป็นมนุษย์สมบัตินี่เป็นอริยทรัพย์ เพราะเกิดเป็นมนุษย์สมบัติมันมีสมอง มีความรู้สึก มีความคิด แล้วมีศาสนา มีศาสนาเพราะเราเกิดมาเป็นสาวก สาวกะ มีศาสนาเพื่อให้เราศึกษา ศาสนาคืออะไร ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ธรรมและวินัยเป็นตัวศาสนา ตัวศาสนาเข้ามาถึงหัวใจเราหรือยัง เช่นวันนี้เห็นไหมวันมาฆบูชา เพราะเราเป็นชาวพุทธ วันสำคัญทางศาสนา พอวันสำคัญทางศาสนาเนี่ย เรามาทำบุญกุศลกัน แล้วได้ฟังธรรม ขณะนี้ได้ฟังธรรม

ธรรมคืออะไร ธรรมคือสัจจะ สัจจะ อริยสัจจะ สัจจะความจริงอย่างนี้ มันเกิดมาจากไหน สัจจะทางโลกพิสูจน์กันด้วยวิทยาศาสตร์ สัจจะทางโลกพิสูจน์กันด้วยสสาร สัจจะความจริงในศาสนาพิสูจน์กันด้วยนามธรรม พิสูจน์กันด้วยความรู้สึก เพราะความรู้สึกนี้มันละเอียดอ่อนกว่าวัตถุ มันเป็นความรู้สึกเท่านั้น มันละเอียดอ่อนมาก มันให้ทุกข์มากด้วย ดูสิทิฏฐิมานะของคน เวลามันเกิดมาในหัวใจ มันเหยียบย่ำหัวใจขนาดไหน

ทิฏฐิมานะความคิดเกิดมามันเหยียบย่ำเราทุกข์มาก เรามีตั้งเป้าหมาย เราอยากต้องการสิ่งต่างๆ ตามกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แล้วก็พยายามแสวงหามา เพื่อใคร เพื่อทำลายตัวมันเองนะ เพื่อทำลายหัวใจนะ แต่ถ้าเราตั้งความหมายเป็นความดีล่ะ เราเวลาปฏิบัติขึ้นมา ดูสิเราอยากจะพ้นจากทุกข์ เรามาประพฤติปฏิบัติกันเพื่อขัดเกลากิเลส เพื่อจะฆ่ากิเลส การจะฆ่ากิเลสนี่มันต้อง.. โลกก็คร่ำครวญกันว่าถ้าเราทำอย่างนั้น เราดูงานทางโลกแล้วเขาอาบเหงื่อต่างน้ำ เขาทุกข์ขนาดนั้น เราทำคุณงามความดี มันก็ต้องแตกต่างกับเขาสิ

มันต่างกับเขาโดยความรู้สึกของใจ มันต่างกับเขา เพราะมีสติสัมปชัญญะย้อนกลับมารู้สึกตัวเรา แต่กิริยาการแสดงออกเหมือนกันทั้งนั้น ดูสิเวลาพระอรหันต์เห็นไหม พระอรหันต์สิ้นกิเลสไปแล้ว กิริยาก็อันนั้น แต่มันไม่มีอวิชชา มันไม่มีความไม่รู้ในใจ การก้าวเดินไป การเหยียดคู้มันจะรู้ไปหมดตลอดเวลา รู้เพราะอะไร เพราะสิ่งนี้มันเป็นสอุปาทิเสสนิพพาน สอุปาทิเสสนิพพานคือพระอรหันต์ที่ยังมีเศษส่วน สิ่งที่เป็นความรู้สึก ความคิด ความนึกเนี่ย มันเป็นเศษ เศษเดนเพราะอะไร

ธรรมนี้มันทำให้หัวใจนี้สะอาดบริสุทธิ์แล้ว พอสะอาดบริสุทธิ์แล้วการแสดงออกเป็นธรรมชาติ ไม่มีตัวพิษภัยออกมากับใจดวงตัวนั้นไง แต่ของเรานี่อวิชชา อวิชชาเพราะอะไร เพราะมันเป็นไก่ เนี่ยไข่ มันมีฟองไข่ มันครอบงำหัวใจไว้ จะคิดอะไรก็แล้วแต่มันต้องผ่านเปลือกไข่ มันต้องผ่านอวิชชา มันจะสะอาดบริสุทธิ์ไปเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อมันสะอาดบริสุทธ์ไปเป็นไปไม่ได้ การกระทำเนี่ยมันถึงต้องมีการกระทำ ต้องมีการฝืนไง การฝืนเรานี่คือการฝืนกิเลส

แต่คนไม่คิดตรงนี้ไง ต้องสะดวก ต้องสบาย ต้องไปยอมจำนนไปกับมัน ต้องไปเคารพ ไปคารวะมันก่อนนะ จะคิดอะไรต้องให้กิเลสอนุญาตก่อนถึงจะคิดได้ จะทำอะไรต้องให้กิเลสคิดก่อน ต้องคำนวณก่อน ต้องสงบเสงี่ยม ต้องทำแล้วให้นิ่มนวล นี่กิเลสทั้งนั้น กิเลสมันดักหน้าดักหลัง แล้วเราเป็นอิสระของตัวเราเองไม่ได้เลย แต่ในเมื่อเรามีหลักมีเกณฑ์ใช่ไหม เราฟังธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะต่อสู้กับเรานะ คำนี้ฟังให้ดี เราจะสู้กับเรา เพราะอวิชชามันอยู่ในหัวใจของเรา

เรื่องธรรมและวินัยของบุคคลคนอื่นเป็นสมบัติของเขา เรานี่เกิดมาในวัฏฏะ เกิดมานี่ด้วยผลของกรรมเห็นไหม เกิดมาเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูก เป็นเพื่อนเป็นฝูงต่างๆ นี่ มันมีเวร มีกรรมกันมาทั้งนั้น นี่ผลของวัฏฏะ การเกิดและการตายเป็นผลของวัฏฏะนะ ผลของวัฏฏะคือการทำดีและทำชั่วในหัวใจของเรา ปฏิสนธิจิตเนี่ย จิตปฏิสนธิ มันเกิดตาย เกิดตายมาเนี่ย ไม่มีต้นและไม่มีปลาย มันหมุนเวียนไปอย่างนี้ แล้วถ้าไม่เชื่อ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ มันเป็นสิทธิส่วนบุคคล

แต่ถ้าเชื่อหรือไม่เชื่อนี่ มันต้องพิสูจน์ ถ้าพิสูจน์เข้าไปเนี่ย ถ้าใครไม่เห็นจริง ใครไม่รู้จริงเนี่ย ใครพูดขนาดไหนก็ไม่เชื่อ ไม่เชื่อหรอก เพราะความเชื่อแก้กิเลสไม่ได้ ความจริงต่างหากจะแก้กิเลสได้ การแก้กิเลสคือการเข้าไปเห็นจริง ถ้าเข้าไปเห็นจริงรู้จริง ตัวมันอยู่ที่ไหน มันเป็นสิ่งที่ปฏิสนธิจิต มันเวียนเกิดเวียนตาย เราถึงต้องทำความสงบของใจเข้ามา มันเป็นงานของใจไง

ถ้างานของใจ งานของใจนั่งสมาธิทำไม งานของใจเดินจงกรมทำไม อ้าว ก็เดินจงกรมเพื่อเอาใจ เพราะใจมันส่งออก ใจมันเกิดที่ภวาสวะ ภพ ภพคือตัวใจ ภพ ตัวภวาสวะคือตัวเกิดเห็นไหม ภวาสวะเกิดในไข่ของมารดา ปฏิสนธิในไข่ของมารดา แล้วเจริญในครรภ์มา ๙ เดือน แล้วคลอดออกมาพ่อแม่เลี้ยงดูมา นี่ก็ตัวใจตัวนั้น ตัวใจมันได้สถานะนี้มา ได้สถานะนี้เพราะว่าเพราะมันมีบุญกุศล ถึงได้เกิดเป็นอริยทรัพย์ ทรัพย์คือทรัพย์มนุษย์สมบัติ

เป็นอริยทรัพย์ จากที่เราได้เกิดมาแล้ว ถ้าเราทำ ถ้าเราย้อนกลับเข้าไป เราจะย้อนกลับเข้าไปหาความรู้สึกตัวนี้ ถ้าย้อนเข้าไปหาความรู้สึกเพราะอะไร เพราะปฏิสนธิจิต ความคิดต่างๆ เกิดจากจิต จิตเป็นต้นเหตุทั้งหมด การเกิด ตัณหาความทะยานอยาก การทำลายกัน การทำคุณงามความดีเกิดจากจิตทั้งนั้น ถ้าจิตมันทำความดี มันทวนกระแสกลับไปก็กลับไปหามัน ถ้าย้อนเข้าไปหาจิต ถ้าย้อนไปหาจิตใช่ไหม เนี่ยรากฐานเกิดจากตรงนี้ ถ้าเข้าไปหาจิตจิตตั้งพื้นฐานได้เห็นไหม

นี่ไง พื้นฐานมันอยู่ที่จิต กิเลสมันอยู่ที่จิต ถ้าจิตมันสงบเข้าไป ก็ตัวจิตมันสงบ ถ้าจิตมันสงบเข้าไป นี่ไง ภวาสวะ เนี่ยตัวภพ เนี่ยตัวสสารที่แท้จริง ชื่อเสียงเรียงนามสิ่งที่เราได้มา มันเป็นสมมุติทั้งนั้น สมมุติมันเปลี่ยนแปลงได้ มันแก้ไขได้หมดเลย แต่กิเลสใครแก้ไขให้ได้ ถ้าไม่เจออริยทรัพย์ ไม่เจอมรรคญาณ ไม่เจอสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมา แล้วมรรคญาณอยู่ที่ไหน ตำรารื้อค้นกันมากนะ ตำราทำวิจัยกันมหาศาลเลย สิ่งที่ทำวิจัยมันเป็นวิจัยทางวิทยาศาสตร์

แต่ถ้าการประพฤติปฏิบัตินี่ มันเกิดมรรคญาณ มรรคญาณจะเกิดจากหัวใจ ถ้ามันมีสติขึ้นมา ไม่มีสตินะ การกระทำเราสักแต่ว่า ถ้าไม่มีการฝึกสติเลย สิ่งที่ทำเนี่ยสักแต่ว่า ยิ่งกิเลสพาทำด้วยนะ มันจินตนาการได้หมดเลย มันเป็นจินตามยปัญญา ดูสิสุตมยปัญญา สุตมยปัญญาคือการศึกษาเล่าเรียน ในการประพฤติปฏิบัติ มันมีจินตามยปัญญา แล้วถ้าเกิดภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญามันเกิดขึ้นมา มันจะเกิดได้อย่างไร งานของเราทำเราจะเป็นคนทดสอบนะ นักวิจัยต่างๆ เนี่ย เราต้องค้นคว้า เราต้องทดสอบ เราต้องขึ้นมาเพื่อปัญญาของเรา

นี่ไงตัวจิต ตัวจิตที่สงบมันอยู่ไหน ถ้าตัวจิตที่สงบ มันอยู่ที่ไหน มันเริ่มทำงานของมันได้ ถ้ามันทำงานที่ไหน ทำงานคือมันออกวิปัสสนาไง ออกค้นคว้า ออกการกระทำ ถ้ามีการค้นคว้าออกกระทำนี่งานมันเกิดตรงนี้ องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าเราเป็นผู้ชี้บอกทางเท่านั้น เราเองเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ งานอย่างนี้ เวลาเทวดา อินทร์ พรหม ถึงได้อนุโมทนาไง อนุโมทนากับพวกนี้นะ เราประพฤติปฏิบัติได้เห็นไหม ประพฤติปฏิบัติได้ เขาว่าฟังธรรม ฟังธรรมอย่างไร

ธรรมคืออะไร ธรรมคือการทวนกระแสเข้าไปถึงความรู้สึกนี่ เพราะตัวรู้สึกนี่สำคัญมาก ตัวรู้สึกเนี่ยสิ่งที่รู้สึก เราได้มานะ เราเกิดเป็นมนุษย์ ดูสิ เราเกิดมาเห็นไหม เกิดมาตั้งแต่ปฏิสนธิจากเป็นน้ำคร่ำ มันพัฒนาของมัน ความรู้สึกจากที่เป็นเซลล์ มันพัฒนาขึ้นมาเป็นไข่ เป็นเด็กอ่อน เป็นตัวอ่อน เป็นต่างๆ ขึ้นมา แล้วมันพัฒนามาเป็นมนุษย์ มันมหัศจรรย์ขนาดไหน สิ่งที่เป็นความมหัศจรรย์นี่มันเป็นผลของวัฏฏะ มันเป็นธรรมชาติของวัฏฏะ

แต่เวลาเราจิตสงบขึ้นไป เราทวนกระแสกลับเข้าไป ถ้าจิตมันสงบเข้ามา ให้มันค้นคว้า ค้นคว้าสิ่งที่ได้มา นี่มนุษย์สมบัตินี้เป็นอริยทรัพย์ ถ้าไม่เป็นมนุษย์สมบัติ จิตมันต้องเกิด ดูสิ ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมเห็นไหม มันอยู่ในทิพย์สมบัติ ทิพย์สมบัติ เขาก็เพลินในชีวิตของเขา แต่ถ้ามีอำนาจวาสนามาฟังธรรมเห็นไหม ฟังธรรมองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระไตรปิฎกเห็นไหม ฟังธรรมองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วค้นคว้าเอา แต่.. แต่ก็เป็นทิพย์สมบัติ

สิ่งที่เราปัจจุบันนี้ มันบีบคั้นนะ เหมือนเรานี่ถ้าเราไม่หิวกระหาย เราไม่หิวกระหาย เราก็ไม่เห็นคุณค่าของอาหาร ถ้าเราหิวกระหาย คุณค่าของอาหารทำให้เราพ้นจากการหิว การกระหายนั้นได้ จิตถ้ามันทุกข์ มันบีบคั้นเราตลอดเวลา สิ่งที่มันบีบคั้นเราตลอดเวลาเนี่ย มันเป็นเรื่องโลกๆ นะ สบายดีไหม สบายดีไหม มีความสุขไหม ว่ากันไป เพราะมันเป็นความไม่จริงหรอก ถึงที่สุดแล้วชีวิตมีการพลัดพรากเป็นที่สุด ถึงที่สุดแล้วเราต้องตายจากโลกนี้ไป อยู่โลกนี้ไม่ได้ เกิดมาช่วงโอกาสที่เราจะได้ค้นคว้าเพื่อเราจะได้ศึกษาธรรม

แล้วธรรมเนี่ย ดูสิเวลาเกิดเป็นกาลเป็นเวลานะ ดูสิสถิติทางโลก ๒,๕๐๐ กว่าปีมาแล้ว องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระไตรปิฎกเห็นไหม นี่กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง การเจริญอีกหนหนึ่งเจริญมาเพื่อใคร ก็เจริญมาเพื่อสัตว์โลก แล้วเราเกิดมา เกิดมาหนนี้เจริญมาเพื่อสัตว์โลกเห็นไหม เรามีปัญญาไหม ทุกคนนะบอกตัวเองนี่รักตัวเอง ทุกคนนี่เป็นคนเก่งหมดเลย ถ้าคนเก่ง งานอย่างนี้นะ เรามีเงินมีทอง เราจ้างวานใครทำได้ทั้งนั้น เรามีทุกอย่างเราจ้างวานได้

แต่งานประพฤติปฏิบัติไม่มี ใครจะจ้างวานใครไม่ได้เลย ความเข้าใจของใจก็เกิดจากใจเราเอง เกิดจากใจเราเอง แล้วถ้ามันเป็นความเข้าใจโดยกิเลสเห็นไหม มันก็ว่าสิ่งนี้เป็นธรรม สิ่งนี้เป็นธรรม มันเสียโอกาสมากนะ มันเสียโอกาสเพราะอะไร เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมา องค์หลวงปู่มั่นครูบาจารย์รื้อค้นสิ่งนี้มาแล้ว การไปศึกษารื้อค้นมา แล้วเราทำโดยกิเลสนะ ไปบิดเบี้ยวมัน ไปทำสิ่งนี้ให้เข้ากับความพอใจของตัว ความพอใจของตัวนั้นมันคือกิเลสนะ

แต่ถ้าเราทำของเรานี่ มันไม่ใช่ความพอใจของตัว เราทำให้มันเป็นสัจจะความจริง เราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา สิ่งใดเกิดขึ้นในปัจจุบันคือปัจจุบันนั้น คือปัจจุบันที่มันเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ แต่ถ้ามันคิดเป็นอดีตอนาคตเห็นไหม มันบิดเบือนไปแล้ว มันบิดเบือนไปเพราะจิตนี้เร็วมาก ความเร็วของจิต แสงหรือสิ่งต่างๆ จะเร็วเท่ากับจิตนี้ไม่มี จิตนี้เร็วมาก มันจะคิดได้เร็วมาก แล้วสิ่งที่เคลื่อนที่ที่เร็วที่สุดแล้วหยุดนิ่ง พลังงานจะเกิดอย่างไร

ดูสิเวลาเข้าฌานสมาบัติเห็นไหม ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน อากาสานัญจายตนฌาน อากิญจัญญายตนะ เนี่ยเข้าสมาบัติ ๘ ถ้ามันเข้าออกๆ พลังงานมันจะเกิด พลังงานจะเกิด มันจะทำสิ่งใดก็ได้ คนถ้าทำวิปัสสนานะ แล้วทำจิตสงบเข้าไปจะเห็นคุณค่าของจิตมาก เห็นคุณค่าของจิต เห็นความเป็นไปของจิต แล้วเห็นความมหัศจรรย์ของมันมาก ความมหัศจรรย์ของจิตมีมากเลย เราไปดูคุณค่ากันน่ะ แก้ว แหวน เงิน ทอง เพชร สารพัดนึกมีคุณค่า แต่เหยียบย่ำใจตนเอง เพราะสิ่งๆ นั้น เอามาประดับเห็นไหม

เวลาเราประพฤติปฏิบัติกันเห็นไหม สิ่งนี้ทำไม่ได้เพราะอะไร เพราะมันผิดศีล แม้แต่ศีลให้กลับมาเป็นปกติของใจ เนี่ยศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเรามีศีลขึ้นมา สิ่งที่เราทำเกิดขึ้นมาเนี่ย มันจะเป็นสัมมาทิฏฐิ เพราะศีลจะไม่ให้เราออกไปนอกลู่นอกทาง แต่ถ้าทำตามความพอใจของตัว มันเกิดสมาธิได้ไหม ได้ ได้เพราะอะไร เพราะเป็นมิจฉาสมาธิไง มันเป็นมิจฉาสมาธิ สมาธิเกิดขึ้นมา สมาธินี้ก็ให้เราติดข้องไปทางโลกเห็นไหม มันไม่เป็นสัมมาสมาธิ

ถ้าเป็นสัมมาสมาธิขึ้นมา ถ้าปัญญามันเกิดขึ้นบนสัมมาสมาธิ มันก็เป็นสัมมาปัญญา สัมมาปัญญาเกิดอย่างไร สัมมาปัญญาเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมา เพราะสัมมาปัญญามันจะเกิดขึ้นมาเพื่อชะล้าง เพื่อทำให้เราเนี่ยให้เห็นข้อเท็จจริง แต่ถ้าเป็นมิจฉาล่ะ ปัญญาเป็นมิจฉาเห็นไหม เกิดจากความเห็นของเรา เกิดจากกิเลสเห็นไหม เกิดจากการเอารัดเอาเปรียบ ปัญญาที่ว่าคนจะล่วงทุกข์ด้วยปัญญาๆ ปัญญาอย่างนั้นปัญญากิเลสพาใช้นะ ถึงต้องทำความสะอาดก่อน ถ้าจิตมันสะอาดเห็นไหม มันจะทำความสงบของใจเข้ามา

ใจมันสงบเข้ามาบ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้า ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ใช่ สมาธิเนี่ยมันฆ่ากิเลสไม่ได้ บอกทำไมต้องทำสมาธิล่ะ ทำสมาธิให้เราชุ่มชื่น แล้วถ้าเราทำสมาธิแล้วปัญญายังไม่เกิดขนาดไหน ใช้สมาธิแล้วเราก็ฝึกฝนใช้ปัญญาได้ ปัญญานี่ฝึกฝนได้นะ เพราะเจโตวิมุตติก็มี ปัญญาวิมุตติก็มี เจโตวิมุตติอาศัยกำลังของสมาธิ สมาธิเป็นฐานแล้วยกขึ้นมาให้เกิดปัญญา ปัญญาที่มีสมาธิ เห็นแยกแยะออกไปแล้ว มันจะปล่อยวางกิเลสเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป

แต่ถ้าเป็นปัญญาวิมุตติเห็นไหม ปัญญาวิมุตติมันใช้ปัญญาใคร่ครวญแยกแยะเข้าไป แต่! แต่ต้องมีสมาธินี่เป็นพื้นฐาน ถ้าไม่มีสมาธิเป็นพื้นฐาน มันเป็นโลกียปัญญา โลกียะที่ไหน โลกียะที่ใจไง โลกทัศน์ไง โลกเนี่ยความเห็นของเรานี่เป็นโลก ถ้าเป็นโลกไปฆ่ากิเลสไม่ได้ เพราะมันเป็นโลก มันเป็นกิเลส มันเป็นความยึดมั่นถือมั่น แต่มันเป็นความยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทาน เราไม่เห็นหรอกว่ายึดมั่นถือมั่น ก็เราทำตามธรรม ทำตามธรรมเหมือนธรรมทุกอย่างเลย ถ้าเหมือนน่ะผิดหมด

มันต้องเป็นปัจจุบันธรรมของใจดวงนั้น ไม่ใช่เหมือนธรรม เหมือนธรรมมันเป็นอำนาจวาสนา อำนาจวาสนาของครูบาอาจารย์แต่ละองค์นี่มันไม่เหมือนกัน ดูสิ ดูอย่างกินอาหาร หรือความรู้สึกของเรา มันชอบไม่เหมือนกันสักคนหนึ่ง แม้แต่ชอบเหมือนกันรสแก่อ่อนก็ไม่เหมือนกัน มันถึงเป็นปัจจุบันของใจดวงนั้น เพราะถ้าใจดวงนั้นขึ้นมาเห็นไหม มันถึงบอกเหมือนไม่ได้ ถ้าเหมือนไปนี่มันเป็นสัญญา

การประพฤติปฏิบัติถ้ามีครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านผ่านเรื่องอย่างนี้มานะ ท่านจะเห็นว่าค่าของปัญญา ค่าของสมาธิ ค่าของความเป็นไปของจิต มันสมดุลขนาดไหน ถ้ามันสมดุลเห็นไหม มันถึงต้องหมั่นฝึกหมั่นซ้อมหมั่นคราดหมั่นไถ การประพฤติปฏิบัติ หมั่นฝึกหมั่นซ้อม ขิปปาภิญญา ขนาดจิตสงบขึ้นไปแล้ว ปัญญามันเกิดขึ้นมา มันจะทำชำระกิเลสให้ขาด แต่ของเรามันอยู่ที่การลงทุนไง เนี่ยการเกิดและการตาย การสร้างอำนาจวาสนาบารมี

เรามองไปทางโลกนะว่าการเสียสละทานเนี่ยไม่มีประโยชน์ ทำอะไรน่ะ เราเสียเปรียบ เสียเปรียบ เนี่ยมันพัฒนาใจ ใจมันจะพัฒนาเพราะมันมีการสะสม เหมือนนักกีฬาเลย นักกีฬาเห็นไหม ดูนักกีฬาเพาะกายเห็นไหม เขายกเหล็กยกน้ำหนักของเขาทุกวันน่ะ มันยกทำไมล่ะ ยกไม่เห็นได้อะไรขึ้นมาเลย แต่ร่างกายเขาแข็งแรงนะ เขาเพาะกล้ามเนื้อของเขานะ เราเสียสละออกไป จิตใจมันเข้มแข็ง จิตใจ ดูสิ เราอยู่ในสังคมเห็นไหม บางคนอ่อนแอ บางคนหลอกง่าย บางคนมีสิ่งใดเนี่ยตื่นเต้นไปกับเขาเลย

ทำไมบางคนเขามีจุดยืนของเขาล่ะ บางคนเห็นไหม บางคนเพราะเราไปดูข้างนอก แต่เราไม่ได้คิดเลยนะ เราเป็นอย่างนั้นตลอด เราดูกันส่งออก จิตของเราจะดูกันแต่คนข้างนอก จิตของเราไม่เคยเตือนใจของเราเลยว่า เราเป็นอย่างนั้นไหม ถ้าเราเตือนเรา นี่ประโยชน์มันเกิดตรงนี้ไง อตฺตา หิ อตฺตาโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนเนี่ยเป็นที่พึ่งแห่งตน ครูบาอาจารย์เป็นคนชี้ทางเท่านั้นนะ เป็นคนชี้ทางให้เราย้อนกลับมาดูใจของเรา

ถ้าเราย้อนกลับมาดูใจของเราเห็นไหม มันเริ่มมีพื้นฐาน ถ้าจิตสงบนะ จิตมันมีสมาธิเข้ามานี่จะมีความสุข เนี่ยมีความสุข ถ้ามีความสุขทำไมคนเขาติดกันน่ะ ติดนะ ติดคือว่าเวลาจิตมันสงบแล้ว เข้าใจว่ามันเป็นนิพพาน ทุกคนเข้าใจว่าอย่างนั้น มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ เพราะมรรคญาณ มรรค ๘ ปัญญาชอบ งานชอบ เพียรชอบ สติชอบ ความรู้สึกชอบ มันจะมีความชอบธรรมหมดเลย แต่มันสงบไปเฉยๆ มันชอบธรรมตรงไหน อะไรมันไปชอบธรรม หินทับหญ้ากดไว้เฉยๆ แต่ต้องมี

เพราะศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าไม่มีหินทับหญ้าไว้ สิ่งที่เกิดขึ้นมา มันก็เป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากทั้งนั้น มันถึงต้องค่อยเป็นค่อยไป มรรคญาณมันจะเกิดนะ ความคิดที่คิดๆกันอยู่ มันเป็นความคิดกันเฉยๆ มันไม่เป็นสัจจะความจริง เป็นความคิดไง คิดดีก็ได้ คิดชั่วก็ได้ ถ้ากิเลสมันพาคิด เวลาเราคิดตั้งใจทุกคนน่ะ เวลาเราออกประพฤติปฏิบัติเนี่ยจะเอามรรคผลนิพพาน มรรคผลยังอยู่ในมือเราเลย ทำไมเราทำไม่ได้ แล้วพอทำไป ทำไปเป็นอย่างไรล่ะ เพราะความชำนาญของเรา การฝึกฝนของเราแยกถูกแยกผิด เนี่ยเวลามันดีขึ้นมา

เวลามันเสื่อมไปเป็นอย่างไร ถ้ามันเสื่อมไปเพราะขาดอะไร เพราะขาดการรักษา ดูสิ นักกีฬานี่เขาต้องหมั่นฝึกซ้อม คนเวลาซ้อมเนี่ย เขาไม่อยากซ้อมเลย เขาอยากจะแข่ง เขาอยากจะได้รางวัลของเขา แต่ถ้าเขาแข่งนะ เวลาขึ้นไปแข่งขัน เขาต้องทุ่มเท ร่างกายนี่จะสึกหรอมาก แต่ถ้าเวลาเขาซ้อมเห็นไหม เขาซ้อมของเขา เขาสะสมกำลังของเขา สะสมกำลังของเขา นี่ก็เหมือนกันขณะที่เรากำหนดนะ ตั้งสติ เราฝึกฝนของเรา เนี่ยมันฝึกซ้อม ฝึกซ้อมขึ้นมา

แล้วเราใคร่ครวญบ่อยครั้งเข้า มันเป็นสมบัตินะ เป็นสมบัติของเรา ทรัพย์สมบัตินะ อริยทรัพย์สำคัญที่สุดเลย จะเห็นชัดเจนมาก ถ้าไม่เห็นชัดเจนมาก มันเป็นอกุปปธรรมอย่างไร กุปปธรรม อกุปปธรรม กุปปธรรมมันเป็นวัฏฏะ กุปปธรรมเนี่ย เจริญแล้วเสื่อม ปัญญาเราเนี่ย เดี๋ยวก็คิดดี เดี๋ยวก็วนไปเวียนมาอย่างนี้เนี่ยกุปปธรรม อกุปปธรรม มันขาด มันขาดไปจากใจเลย กิเลสเนี่ยขาดดั่งแขนขาด มันตัดขาดเลย อกุปปธรรม เกิดขึ้นมาจากหัวใจ มันสะอาดขึ้นมาจากใจไม่ต้องมีใครบอก การประพฤติปฏิบัติถ้ามีคนบอก

องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมานี่มีใครบอก ผิดก็รู้ว่าผิด ถูกก็รู้ว่าถูก เพราะอะไร เพราะทำแล้วมันไม่มีค่าตอบแทน มันออกไปแล้วก็มันเสื่อมสภาพอยู่อย่างนั้นน่ะ แต่ถ้าเป็นอกุปปธรรม พิจารณากายเห็นไหม พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม กาย เวทนา จิต ธรรม กายคือสภาวะกายที่เห็นกันอยู่อย่างนี้ ถ้าเราเห็นกายกันโดยสามัญสำนึก พิจารณากายเนี่ย หมอผ่าตัดนะเขาเป็นพระอรหันต์หมดแล้ว หมอผ่าตัดเขาอยู่เนี่ย เขาผ่าทุกวันน่ะ เห็นกายไหม ไม่เห็นเลย เขาไม่เห็นกายเลยนะ นั่นคืออาชีพเขา เขาศึกษาทางสรีระมา แล้วเขาใช้วิชาชีพของเขา วิชาชีพ มันไม่ใช่สัจจะความจริง

สัจจะความจริงจิตต้องสงบก่อน พอจิตสงบเข้ามาเห็นกายอย่างไร การเห็นกายเห็นโดยสัญญาคือเห็นโดยสมมุติบัญญัติ แต่เห็นโดยสัจธรรม เห็นสัจธรรมคือเห็นอริยสัจ จิตสงบแล้วเห็นกาย จิตสงบแล้วเห็นกาย กายเห็นกายเห็นไหม เหมือนเราเบิกธนาคาร เรามีเงินในธนาคารแล้วเราไปเบิกในธนาคาร แล้วธนาคารเขาจ่ายให้เราตามความเป็นจริงไหม ถ้าธนาคารเขาไม่จ่ายให้เราตามความเป็นจริงนะ เงินนั่นไม่ได้ตัวเลขตามยอดของเรา จิตก็เหมือนกัน เวลาไปเห็นกายเห็นอย่างไร เห็นโดยสัญญา เห็นโดยข้อมูล ไม่ใช่ความจริง

ถ้าเห็นโดยสัจจะความจริง เห็นกายครั้งแรกมันจะขนพองสยองเกล้า ขนพองสยองเกล้าเพราะอะไร เพราะจิต จิตนี้คืออะไร จิตคือตัวภวาสวะ จิตคือตัวภพ จิตคือตัวที่มีกิเลสแล้วมันไปเห็นข้อมูล เห็นกิเลสของตัว เพราะอะไร เพราะกิเลสมันเข้าใจว่าสรรพสิ่งนี้เป็นของเรา ทุกสิ่งนี้เป็นของเรา ทุกอย่างดีไปหมดเลย แต่พอเห็นกายโดยสัจจะความจริงเห็นไหม เห็นกายโดยสัจจะความจริงเห็นไหม มันสะเทือนหัวใจเพราะอะไร เพราะการเห็นกายเนี่ย คนอยู่ด้วยกัน โทษนะ เราสามีภรรยาอยู่ด้วยกันเห็นไหม รักกันไหม ชอบใจกันไหม อยู่ด้วยกันมาเป็นครอบครัวมา

อยู่ด้วยกันมาสุขสบายไม่เคยเห็นอะไรเลย แต่ถ้ามีปัญหาขึ้นมา มีความกระทบกระเทือนไหม กายกับจิตนี่มันอยู่ด้วยกัน แต่มันไม่รู้จักกัน เวลาจิตมันสงบเข้ามา มันไปเห็นสภาวะกายนะ มันสะเทือนหัวใจมาก พอสะเทือนหัวใจ การเห็นกายมันสะเทือนกิเลส พอสะเทือนกิเลสนะ ให้จิตตั้งมั่น จิตตั้งมั่นไว้ แล้วจับให้ได้เพราะอะไร เพราะการเห็น เห็นโดยตาของใจ ไม่ใช่เห็นโดยตาเนื้อ ไม่ได้เห็นด้วยสามัญสำนึก ไม่ได้เห็นโดยสิ่งต่างๆ การเห็นโดยสามัญสำนึก นี่คือจินตามยปัญญา จินตามยปัญญาฆ่ากิเลสไม่ได้

มันต้องเป็นภาวนามยปัญญา แล้วภาวนามยปัญญามันเกิดมาจากไหน เกิดมาจากการฝึกฝน จิตต้องสงบเข้ามาก่อน แล้วน้อมไปเห็นกาย เวทนา จิต ธรรม แล้วมันแยกแยะของมัน มันแยกแยะไง มันวิปัสสนา มันใคร่ครวญอย่างไร ใคร่ครวญเพราะมันจะถอนหนาม ถอนสิ่งที่ฝังอยู่ที่ใจ ถ้าไม่ถอนหนามสิ่งนี้นะ จิตนี้ยังเป็นหนี้ ถ้าจิตเป็นหนี้ มันต้องเวียนตายเวียนเกิดเป็นธรรมชาติเพราะการเกิด ดูสิ เราเกิดมาจากพ่อแม่นี่ เราเป็นหนี้พ่อแม่ไหม เนี่ยเกิดมาโดยธรรมชาตินะ แต่บุญคุณของพ่อแม่เลี้ยงดูมาเป็นหนี้ไหม เป็นหนี้ทั้งนั้นใช้หนี้ตามสภาวะหนี้ของมัน

แต่ถ้ามันมาถอนตรงนี้ล่ะ ถอนที่สิ่งที่มันเป็นหนี้เห็นไหม สิ่งที่มันฝังใจ สิ่งที่มันเป็นอุปาทานถ้าถอนด้วยวิธีการใด ถอนด้วยการใคร่ครวญ จิตสงบแล้วใคร่ครวญกายเห็นไหม สิ่งที่กายกับใจอยู่ด้วยกันโดยสังโยชน์ สังโยชน์คือเครื่องร้อยรัด สิ่งที่ร้อยรัดอยู่เนี่ย พอวิปัสสนาไปนะ มันเห็นสัจจะความจริงเห็นไหม มันควบคุมไว้ไม่ได้ไง พอจิตสงบแล้ววิปัสสนาไป มันเข้าถึงสมดุล มรรคญาณสมดุลนะ ศีล สมาธิ ปัญญาเห็นไหม ตั้งแต่ความเพียรชอบ งานชอบ ความเพียรชอบ

งานชอบ งานกระทำอะไร งานในการสมถะ งานหากำลัง งานหาทุน คนหาทุนมาแล้วทำกิจการเห็นไหม หาทุนคือหาพื้นฐานของสมาธิมา พอสมาธิเกิดขึ้นมาแล้ว มันกลับไปทำกิจการอย่างไร มันแยกแยะอย่างไรเห็นไหม สิ่งที่แยกแยะ สิ่งที่เป็นไป นี่คือธรรมจักร สิ่งที่เป็นจักรมันเป็นโลกุตตรธรรม มันเป็นโลกุตตรปัญญา ปัญญาอย่างนี้ ปัญญาอย่างนี้มันเกิดขึ้นมาจากการฝึกฝน ปัญญาอย่างนี้เกิดขึ้นมาจากภวาสวะจากตัวภพ ตัวภพที่มันหมุนเห็นไหม ตัวความรู้สึก ความคิดมันหมุนออกไป หมุนออกไปโดยสามัญสำนึก หมุนออกไปโดยสัญชาตญาณ

แต่พอจิตสงบเข้ามา มันฝึกให้หมุนเข้ามาเป็นธรรมจักร หมุนเข้าไปชำระถอดถอนสังโยชน์ สังโยชน์คือเครื่องร้อยรัด สักกายทิฏฐิ ทิฏฐิความเห็นผิด ทิฏฐิความเห็นผิด มันฝังใจอยู่ แต่เราไม่รู้ว่าสักกายทิฏฐิมันเป็นอย่างไร เราคิดว่าเป็นเรา ทุกอย่างเป็นเราหมด ถ้าเราคิดของเราเป็นผลประโยชน์ของเรา เราคิดโดยกิเลสทุกอย่างเป็นของเรา เราจะไม่ยอมฟังใครทั้งสิ้นเลย สิ่งที่เป็นประโยชน์ของเรา เราต้องแสวงหาต้องเพื่อผลประโยชน์ของเรา กิเลสทั้งนั้นแล้วไม่มีใครเป็นเรา ไม่มีของเรา ของเราก็ไม่มี ความเป็นไปของเราก็ไม่มี สิ่งต่างๆ ไม่มีทั้งนั้น

ถ้าไม่มีทั้งนั้นนี่มันเพราะเหตุใด ความเกิดขึ้นความเป็นไป มันเกิดขึ้นมาจากตัวตนของมัน สิ่งต่างๆ อย่างนี้ มันเกิดขึ้นมาเพราะกรรมของมัน ความเป็นไปของมัน เนี่ยจิตถึงเป็นสภาวะแบบนั้น แล้วเราใคร่ครวญ เราใคร่ครวญนะ เราดูของเรา เราจัดการของเรา จัดการแยกแยะน่ะ ปัญญามันเกิดอย่างนี้ ถ้าปัญญามันเกิด สิ่งที่ปัญญามันเกิด เกิดมานี่เป็นโลกุตตรปัญญา ถ้าปัญญาเป็นโลกุตตรปัญญาไม่ใช่โลกียปัญญา ปัญญาที่เราคิดใคร่ครวญเป็นโลกียปัญญา

ปัญญาของเรามันเกิดสภาวะแบบนั้น เกิดโดยธรรมชาติของมันนะธรรมชาติอย่างนี้มันเป็นธรรมชาติของกิเลส ถ้าธรรมชาติของเราล่ะ ธรรมชาติของโลกุตตรธรรม ถ้าโลกุตตรธรรมเกิดขึ้น มันถึงจะย้อนกลับมาของเรา มันถึงจะเป็นมรรคญาณที่ว่าทำลายกิเลส ทำลายกิเลส มันชำระกิเลสถอนอุปาทานไง การถอนอุปาทาน อุปาทานในหัวใจนะ ถ้าเราถอนอุปาทานไม่ได้ เราจะต้องเวียนตายเวียนเกิดไป

แต่ถ้าถอนไม่ได้เนี่ยพิจารณากาย การพิจารณากายของเรา พิจารณาซ้ำพิจารณาซาก หมั่นแยก หมั่นคราด หมั่นไถ คาดไถจนถึงที่สุดนะ ถ้าถึงที่สุดนะ กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ กายมันแยกออกไป แล้วจิตกับกายแยกออกจากกันอย่างไร กายกับจิตมันเคยอยู่ด้วยกัน มันแยกออกไปอย่างไร ถ้าคนไม่เคยเห็น มันเห็นได้อย่างไร กายกับจิตแยกออกจากกันโดยธรรมชาติของมันเลย แล้วจิตมันพ้นออกมาได้อย่างไรเห็นไหม เนี่ยสังโยชน์ขาดออกไป สังโยชน์ขาดออกไปจากใจ

แล้วพิจารณาเวทนาก็เหมือนกัน พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม สิ่งที่เป็นจิตเห็นไหมจิตมันพิจารณาจิต เพราะอะไร เพราะคนเรามีกายกับจิต เนี่ยการกระทำของจิต มันถึงมีประโยชน์กับเรา เพราะจิตเป็นตัวปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิจิตเกิดตายๆ ในวัฏฏะ แล้วสิ่งที่เกิดตายๆ มา แล้วเราปฏิบัติธรรมโดยสมมุติ ขณะปฏิบัติโดยสมมุติ สมมุติว่าปฏิบัติ แล้วปฏิบัติไปโดยสมมุติ สมมุติกันเอง แล้วเราก็เชื่อของเราว่าเราทำโดยสมมุตินะ เวลาโดยสมมุติเห็นไหม สมมุติว่าธรรม แล้วมันจะเป็นจริงไหม มันไม่เป็นจริงหรอก

แต่ถ้ามันจริงนะ มันจะเกิดมากับเรา มันไม่เป็นสมมุติ มันเป็นการกระทำของใจ ใจมีการกระทำนะ มันมีงานของมันนะ จิตเห็นจิตเห็นอย่างไร ขันธ์ ๕ เป็นจิตนะ ขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ความคิดไง ความคิดนี่เป็นรูปนะ ความคิดของเรานี่เป็นรูป ถ้าพูดถึงทางการแพทย์ มันเป็นคลื่นสมองนี่เขาจับได้ ถ้าคลื่นสมอง คนเราเห็นความคิดของเราไหม ไม่เห็นความคิดเลย

แต่ถ้าจิตมันสงบเข้ามานะ มันเห็นความคิดของเราเอง ความคิดเป็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันจับได้ ถ้ามันจับได้มันแยก รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันแยกออกไป แยกออกไป ต่างๆ นี่แยกได้ แยกอะไร แยกนี่คือการทำงาน ถ้างานมีการกระทำขึ้นมา ถ้ามันเป็นธรรม มันจะปล่อย ถ้าไม่เป็นธรรมนะ ไม่เป็นธรรมมันหมายถึงว่ากิเลสมันมีอำนาจเหนือกว่า ตัณหาความทะยานอยากมันมีกำลังเหนือกว่า การกระทำของเรานี่ทำขนาดไหน มันไม่ปล่อย

เวลาจิตเสื่อมนะ ในการประพฤติปฏิบัติเราคิดว่าเราทำแล้วมันจะได้ผลตลอด ดูทางธุรกิจสิ มันจะมีปัญหา ปัญหาข้อนั้น ปัญหาการขนส่ง ปัญหาในการผลิต ปัญหาในการดูแลรักษา มันมีปัญหาไปหมด ปัญหามันเกิดอย่างไร ขณะที่ทำเหมือนกัน เวลาจิตมันมีปัญหานะ มันจะมีปัญหาของมัน เรากลับมาดูพื้นฐาน เรากลับมาดูทุน ทุนคือสมาธิ กลับมาดูการบริหารคือปัญญา กลับมาดูสติคือดูแลผลประโยชน์เห็นไหม สิ่งนี้มันการกระทำไป มันจะมีสิ่งใดขาดตกบกพร่องอยู่ตลอดเวลา

แล้วการประพฤติปฏิบัติ เราถึงต้องดูใจเรา เราพอทำมันจะมีประสบการณ์ มันจะ เปลี่ยนแปลงการกระทำนะ เปลี่ยนแปลงการกระทำให้มันเป็นมรรคญาณ ให้มันเข้ามาเป็นคุณสมบัติของเรา ถ้าเป็นคุณสมบัติของเรา ถึงที่สุดแล้วขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รูปคืออะไร รูปคือความรู้สึก ความรู้สึกมันสร้างเป็นรูปได้ เวทนาคือความพอใจ ไม่พอใจ สัญญาคือข้อมูล สังขารคือความคิด สังขารคือการเคลื่อนไหวของจิต

รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สิ่งต่างๆ มันแยกของมัน พอมันปล่อย ถ้าปล่อยแล้ว ความรู้สึกเป็นไม่ได้ อารมณ์เกิดอยู่ตรงนี้ อารมณ์เกิดจากรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รวมตัวกัน รวมตัวกันเป็นอารมณ์ ความคิดหมุนไป ปัญญาเราแยกเข้าไป ทันความคิด ความคิดเนี่ยคิดเรื่องอะไร จับไว้แล้วแยกออก มันจะมีส่วนประกอบของรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ถ้าแยกออกแล้วความคิดเดินไม่ได้ ความคิดหยุดหมด ปล่อย เวลาคิดแยกไปบ่อยครั้ง บ่อยครั้งเห็นไหม ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา ความคิดไม่ใช่เรา ความคิดเกิดดับ แล้วตัวเราอยู่ไหน

ตัวเราคือตัวยึดมั่นถือมั่นความคิดเรา เวลามันรู้ทันแล้วมันปล่อย ปล่อยบ่อยครั้งเข้า การปล่อยบ่อยครั้งเข้าเห็นไหม นี่การฝึกฝนเหมือนนักกีฬา นักกีฬาฝึกซ้อมแค่ไหน ลงแข่งขัน การแข่งขันของนักกีฬา มันเคยมีเทคนิคอย่างไร คู่ต่อสู้มีกำลังมากไหมต่างๆ สิ่งที่เราชอบใจ มันก็มีกำลังมาก เราจะเอาไว้ในอำนาจเราไม่ได้เลย สิ่งใดที่เราไม่พอใจ สิ่งใดที่เราไม่ชอบใจ เราจะมีการใคร่ครวญ มีการปล่อยวางได้ ถ้าการวิปัสสนานะ การทำงานมรรคญาณมันต้องมีอย่างนี้ การมีอย่างนี้ถึงว่านักกีฬาที่เขาแข่งขันกัน เขามีฝ่ายตรงข้าม เขามีการแข่งขัน แล้วใครทำคะแนน ใครทำแต้มได้

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันวิปัสสนาไปด้วยกำลังของธรรม มันจะปล่อย การปล่อยนะกับการทำสมาธิต่างกัน การทำสมาธินี่เรากดหินไว้ทับหญ้าเฉยๆ แต่การวิปัสสนาเวลามันปล่อย เหมือนเราได้แต้ม ได้แต้มตลอดไป แต่ขณะที่เราเป็นสมาธิเหมือนเราฝึกซ้อม เหมือนเราจะไม่ได้อะไรเลย เราวอร์มร่างกายเราตลอดเวลา แต่เราไม่ทำอะไรเลย แต่ขณะที่เราแข่งขันเห็นไหม เราเข้าไปแข่งขัน แข่งขันที่ไหน

ถ้าไม่เห็นกาย เวทนา จิต ธรรม โดยสัจจะความจริง ไม่มีการแข่งขัน ไม่มีการวิปัสสนา ไม่มี มันเป็นการสร้างภาพของใจเอง เป็นการสร้างภาพของกิเลส กิเลสมันจะสร้างภาพของมัน เวลาเราสร้างเราจะว่าสภาวะอย่างนั้นเป็นธรรม เป็นธรรม ไม่มีหรอก ไม่มีหรอกเพราะอะไร เพราะไม่มีการกระทำ มันไม่มีระหว่างธรรมกับกิเลสกับต่อสู้ในหัวใจ ธรรมกับกิเลสต่อสู้กันในหัวใจนะ ขณะที่ทำมันเจริญขึ้นมาเห็นไหม มันต่อสู้ มันมีการโต้แย้งกัน มีวิปัสสนา

มรรคญาณมันหมุนไป เวลาทำไป เวลาธรรมมีกำลังนะ กิเลสหมอบ กิเลสหาที่ซ่อน กิเลสไม่เคยตาย กิเลสไม่ยอมใคร กิเลส แก่นของกิเลสนี่สุดยอดมาก ไม่มีทางยอมแพ้หรอก บางทีมันหลบซ่อน แล้วถ้าไม่มีครูบาอาจารย์นะ เวลามันปล่อยวางหนหนึ่งมันก็เป็นสภาวธรรม สภาวธรรม แล้วเวลาจิตมันเสื่อมนะ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เวลาเจริญก็มี เวลาเสื่อมก็มี ดูสิ เวลาชีวิตของเราเห็นไหม ลุ่มๆ ดอนๆ มันก็มีความสุข ความทุกข์ปนเปไปกันตลอดเวลา

ในการประพฤติปฏบัติก็เหมือนกัน ถ้ามันประพฤติปฏิบัติโดยธรรม โดยข้อเท็จจริง เวลาจิตมันดีขึ้นมามันจะมีความสุขมาก แล้วกิเลสมันสอดว่านี่คืออริยภูมิ นี่คือสิ่งที่เป็นไป แล้วเดี๋ยวมันก็เสื่อมๆ เสื่อมตลอดไป เพราะครูบาอาจารย์ผู้ที่ผ่านการประพฤติปฏิบัติมา มันจะประสบการณ์อย่างนี้มาทุกๆ ดวงใจ ทุกๆ ดวงใจ เว้นไว้แต่ขิปปาภิญญาผู้ที่ตรัสรู้เร็ว ฆ่ากิเลสเร็ว เป็นสัจจะความจริงอย่างนั้น แต่ได้มาด้วยวิธีการใด ขิปปาภิญญาได้มาจากไหน ก็ได้มาจากอำนาจวาสนา ได้มาจากการสร้างสมบุญญาธิการ มันต้องลงทุนทั้งนั้น ไม่มีอะไรฟรีหรอก

โลกนี้ไม่มีของฟรี มีแต่การกระทำ มีทำดีทำชั่ว ทำดีก็เป็นผลดีตอบสนองมาที่ใจ ทำชั่วได้ผลชั่ว ทำชั่วมันก็เกิดกรรม เกิดกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เกิดเห็นไหมบิดเบือนหัวใจ หัวใจมันจะมีจริตนิสัย ดูสิเห็นไหม คนพาล คนปัญญาชน คนดี มันไปสร้างสม การกระทำสิ่งต่างๆ มันไปสะสมลงที่ใจหมด ไม่มีสิ่งใดเลยทำแล้วไม่มีผลตอบสนอง ไม่มี ในพุทธศาสนาเราเห็นไหม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เพียงแต่ว่าสิ่งที่มันมาเป็นเราอยู่เดี๋ยวนี้ มันเป็นมาจากอดีต เป็นมาจากการสั่งสม

เพราะเดี๋ยวนี้เราเป็นปัจจุบัน พอปัจจุบันเหมือนผลไม้ เราออกมาเป็นอะไรล่ะ ออกมาเป็นมะม่วง เป็นมังคุด เป็นอะไร ผลไม้ชนิดใดก็เป็นผลไม้ชนิดนั้น นี่ก็เหมือนกัน ในหัวใจเกิดมาแล้วมันเป็นเดี๋ยวนี้ มันเป็นปัจจุบันนี้ เราไม่ต้องไปวิตกวิจารว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมาเป็นเรา จริตนิสัย โมหะจริต โทสะจริต สิ่งต่างๆ นี้มันเกิดขึ้นมาแล้วนี่ มันเป็นผลมาจาการกระทำ มันเป็นอดีตมันแก้ไขไม่ได้ เราถึงไม่ต้องไปทุกข์ร้อนใจ

เพียงแต่อธิบายให้เห็นว่าจริตนิสัยของคน ความเป็นไปของคนนี่เราบังคับบัญชาไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่มันมีเหตุมา แล้วปัจจุบันมันมาเป็นเรา ถ้าปัจจุบันเป็นเรา เราต้องแก้ไขในปัจจุบันนี้ว่าปัจจุบันนี้เราจะแก้ไขอย่างไร เราจะหาช่องทางให้หัวใจนี้ มันพ้นไปจากการครอบงำของอวิชชา พญามาร พ่อ ปู่ ย่า ของมันที่มันควบคุมใจ แล้วสิ่งใดถ้าเข้าไปตรงกับความพอใจ ตรงกับกิเลส มันจะพออกพอใจของมันมากนะ เราถึงจะต้องหาหนทาง หาวิธีการเพื่อประโยชน์ของเรานะ แต่เวลาเพื่อประโยชน์ของเรา ทำไมมันทุกข์ขนาดนี้ล่ะ

เวลาประพฤติปฏิบัติอดนอนผ่อนอาหาร การต่อสู้กิเลสนะ เพราะกิเลสเป็นเรา สิ่งต่างๆ ในหัวใจเป็นเรา ถ้าเป็นเราแล้วมันต้องการสะดวกสบายทั้งนั้นน่ะ การสะดวกสบายมันเป็นทางเดียวของกิเลส เหมือนเด็กเลย เราเลี้ยงลูกมา เราจะปล่อยให้ลูกเราทำตามสบาย ไม่ต้องไปโรงเรียน อยู่บ้านอยู่เรือนเราจะปรนเปรอให้อิ่มหนำสำราญ แล้วจะให้เป็นคนดีขึ้นมา มันจะเป็นไปได้ไหม มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย แต่ขนาดที่เขาจะเป็นผู้ใหญ่มานี่ เขาต้องมีวิชาการของเขา เขาต้องอยู่ในสังคมให้ได้ เขาทำประโยชน์ขึ้นมาแล้วเขาต้องไม่กระทบกระเทือนกับการศึกษาของเขา

นี่ก็เหมือนกันจิตที่มันจะเป็นขึ้นมา มันต้องมีสัมมาสมาธิ มันต้องมีพื้นฐาน มีพื้นฐานขึ้นมา มันต้องเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาเห็นไหม แล้วเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา มันเข้าอริยมรรค มันเข้ากับสิ่งที่ครูบาอาจารย์มี ขณะที่ประพฤติปฏิบัติเนี่ย ดูสิ วัฏวน องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นองค์ที่ ๔ ในภัทรกัป แล้วสิ่งที่สร้างมามันมีไหม มันมีทั้งนั้นน่ะ แล้วมันมีสัมมาหรือมิจฉา สัมมาคือเข้าถนนหนทางในการประพฤติปฏิบัติ มิจฉาคิดว่าธรรม ทำโดยคิดว่าตัวเองแล้วเป็นสัมมาไหม มันเข้ากับสัจจะความจริงไหม

มันไม่เข้ากับสัจจะความจริงเลย มันเข้ากับกิเลส เข้ากับตัณหาความทะยานอยาก นี่ทุกข์ทั้งนั้น โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี เพราะถ้าเราทำผิดผลก็คือมิจฉา ถ้าเราทำถูกต้องผลก็เป็นสัมมา แล้วสัมมามันอยู่ที่ไหน มันก็กลับมาที่ใจ เพราะอะไร เพราะผลมันตอบรับไง ดูสิ เราเพาะบ่มผลไม้ ดูเวลามันสุกงอมขึ้นมา เรากินน่ะมันจะมีรสชาติไหม กับที่เราเห็นผลไม้อยู่ เห็นแล้วคิดว่ามันเป็นผลไม้แล้วมันไม่ใช่ เอามากินแล้วเรากินได้ไหม

ผลของมันคือสิ่งที่ตอบสนองมาในหัวใจ การที่เราลงทุนลงแรงนี่ เราตั้งสติ เราตั้งสมาธิ เราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ผลเพื่อการชำระกิเลสนะ เรารดน้ำที่โคน เราดูแลต้นไม้ ผลมันไปออกที่ปลายนะ ผลไม้มันออกที่ปลาย นี่ก็เหมือนกันเรารักษาที่จิต เรารักษาที่หัวใจของเรา ผลออกมานะมันจะทำให้เราไม่หลงทางไป เราไม่ตกกระแส เกิดมาในชาติหนึ่งนะ การตายและการเกิดออกมาจากช่องแคบทุกคน แต่ขณะที่เกิดมา ออกมาเนี่ยทุกข์มา ไม่มีใครสำนึกตัวได้เลย แล้วก็ต้องเวียนไปอีก เวียนไปอีก

ศาสนาของเรานี่ประเสริฐมาก วันนี้วันสำคัญทางพุทธศาสนาเป็นวันมาฆบูชา เป็นการยืนยันว่า พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ประพฤติปฏิบัติมาจนพ้นจากกิเลสไป แล้วในปัจจุบันนี้หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ครูบาอาจารย์เราท่านก็ประพฤติปฏิบัติมา แล้วนี่ท่านผ่านไปแล้วเพราะอะไร เพราะสิ่งที่ว่ายืนยันกับเราด้วยวัตถุคือพระธาตุของท่าน กระดูกของท่านเป็นพระธาตุ แต่ครูบาอาจารย์ของเราอยู่ด้วยกันมา สิ่งต่างๆ เห็นไหม เหตุที่ทำให้เป็นพระธาตุเห็นไหม คือสัจธรรมความจริงไง ถ้าไม่มีสัจธรรมความจริงในหัวใจ จะเอาสิ่งใดแสดงออกมา

นี่คนที่มีวิชาชีพ เขาแสดงออกมาตามวิชาชีพของเขา ถ้าคนที่ไม่มีวิชาชีพในหัวใจเอาอะไรออกมา ถ้าคนไม่มีสัจจะความจริงไม่มีธรรมในหัวใจ สิ่งที่สั่งสอนลูกศิษย์ลูกหามา สิ่งนั้นแสดงออกมาจากไหน แล้วเราเกิดมาร่วมสมัยร่วมภพครูบาอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์เนี่ยสิ่งที่ออกมาจากใจออกจากความจริง การภาวนานี่แสนทุกข์แสนยากนะ ดูสิ ดูอย่างภูเขาเหล่ากาเนี่ยเขาจะเคลื่อนย้าย เขาระเบิดนะ เขามีเทคโนโลยีทำลายให้ราบไปหมดเลย

แต่กิเลสของคนเอาอะไรไปทำลายมัน เอาอะไรไปทำลายมัน มันเป็นนามธรรม มันต้องเอาตัวมันทำลายตัวมัน เอาตัวจิตทำลายตัวจิต แล้วตัวจิตมันอยู่ที่ไหน ตัวจิตคือตัวความรู้สึก จิตถ้ามันสงบเข้ามานะ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ มันจะเห็นตัวมัน แล้วตัวจิตเห็นไหม แล้วตัวจิตย้อนกลับมา ย้อนกลับมา ย้อนกลับมา ให้เป็นมรรคญาณ มรรคญาณย้อนกลับเข้าไปทำลาย ตั้งแต่โสดาบัน สกิทาคา อนาคาขึ้นไป

โสดาบัน โสดาบันคือการพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม เห็นไหม กายไม่ใช่เรา เราไม่ใช่กาย กายไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่กาย นี่สิ่งที่เห็นคือสัจจะความจริง มันปล่อยวางได้ พอปล่อยวางได้ สิ่งที่ก้าวเดินต่อไป ยกขึ้นไป จิตนี้ต้องยกขึ้นไป ถ้ามันพิจารณากาย ต้องกายซ้ำ กายนอก กายใน กายในกาย ถ้าเป็นปริยัติเขาบอกว่ากรรมฐานชอบพูดโวหาร มันเป็นอย่างนี้จริงๆ มันไม่ใช่โวหาร กายนอก กายนอกเห็นไหม กายนอกเนี่ยเราเห็นเพศตรงข้ามกายนอกไหมล่ะ มันเป็นวิปัสสนาไหม ถ้าเห็นไปรักเขาทำไม เนี่ยกายนอก

แต่ถ้ามันเป็นวิปัสสนาเห็นไหม กายนอก กายนอกมันเป็นอะไร กายนอกสิ่งนั้นมันสิ่งที่ว่าถ้าเป็นสมาธิขึ้นมาเนี่ย มันเป็นอสุภะ สิ่งที่เป็นอสุภเพราะอะไร เพราะมันแปรสภาพ มันย้อนกลับเข้ามาถึงตัวเรา กายนอก กายใน กายในกาย เพราะมันทิ้งกายเป็นชั้นตอนเข้าไป เนี่ยทิ้งกายนอก จิตกับกายไม่ใช่อันเดียวกัน มันอยู่ด้วยกันแต่ไม่เป็นอันเดียวกัน เพราะจิตมันเห็นกาย พอจิตมันเห็นกาย มันวิปัสสนาไป มันก็ปล่อยกาย เนี่ยปล่อยกายเข้ามา กายใน ถ้าจิตเห็นกายซ้ำเข้าไปเนี่ย นั่นน่ะสกิทาเพราะอะไร เพราะมันทิ้งกายนอก

กายนอกเห็นไหม วิปัสสนาไป เห็นสัจจะความจริง มันแปรสภาพตลอดเวลา มันเป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งที่เป็นทุกข์เป็นอนัตตา พอเป็นอนัตตามันปล่อย พั้บ! ปล่อยพั้บ! จิตเป็นอิสระขึ้นมา โสดาบัน! พิจารณากายซ้ำไป กายในเห็นไหม กายในมันเป็นอุปาทาน อุปาทานมันยึด ยึดระหว่างกายกับจิตมันยึดกัน ถ้าวิปัสสนาไปเห็นไหม แยกออกจากกัน กายเป็นกาย จิตเป็นจิต แยกออกจากกันโดยธรรมชาติเลย โลกนี้ราบเป็นหน้ากอง โลกนี้ราบหมด จิตนี้ปล่อยหมดเลย สังโยชน์ขาด ขาด ขาด ขาดตลอดไป

แล้วย้อนกลับเข้าไป กายในเป็นอสุภะ สิ่งที่เป็นอสุภะ เพราะอะไร เพราะจิตมันเห็นสัจจะความจริง มันเป็นธรรม นี่โดยข้อเท็จจริงเห็นไหม คนถ้าไม่มีชีวิตเก็บไว้ร่างกายทิ้งไว้จะเน่า ไว้วันสองวันมันจะเน่า มันจะเสียหาย นี้เพราะอะไร เพราะไม่มีไออุ่น ไม่มีจิตเป็นเจ้าของ ขณะที่เรามีชีวิตอยู่ เรามีไออุ่นเรามีพลังงาน พลังงานนี้รักษาร่างกายนี้ไว้ เนี่ยรักษาไว้ก็เป็นเรา จิตก็หลงว่าเป็นสมบัติของมัน มันยึดของมันเห็นไหม แต่พอจิตมันสงบเข้ามา สงบเข้ามา มันสงบแล้วมันเห็นธรรม

ธรรมคืออะไร ธรรมคือสิ่งที่จิตมันวิปัสสนาไป มันเห็นสภาวะกาย มันเป็นอสุภะ อสุภะเพราะอะไร เพราะจิตมันสงบเข้ามา มันมีฐานของมัน มันออกมาทำงาน เพราะกายกับจิต มันไม่ใช่อันเดียวกัน มันแยกออกจากกันได้ ดูสิ เวลาเรานอนฝันใช่ไหม ทำไมฝันออกไปข้างนอกได้ล่ะ ถ้าจิตมันเข้ามา ฝันนะ ฝันไม่ใช่วิปัสสนา วิปัสสนาเนี่ยพอจิตมันสงบเข้ามา มันแยกออกไป มันเป็นอสุภะ อสุภะเพราะอะไร อสุภะเพราะมันเป็นธรรม มันเป็นมรรคญาณ

อสุภะ มันแยกเป็นอสุภะ เพราะสิ่งนี้เป็นอสุภะ แต่จิตเป็นอสุภะไป สุภะ อสุภะ สุภะคือความพอใจของจิต มันเป็นความพอใจของมัน แต่เป็นอสุภะมันก็ผลักไส มันผลักไส มันโต้แย้ง มันไม่ต้องการ สิ่งที่ต้องการ ดูสิ ถ้าอาหารเราประณีตเราอยากกินไหม ถ้าอาหารมันเสีย อาหารชำรุดเราอยากกินไหม เราก็ไม่อยากกินเห็นไหม นี่ก็เหมือนกัน สุภะ อสุภะ ผิดทั้งหมด! มันไม่เป็นมัชฌิมา มันไม่เป็นกลาง เป็นสุภะ เราก็ไปชอบมัน เป็นอสุภะ เราก็ปฏิเสธมัน

สิ่งที่ปฏิเสธเห็นไหม เนี่ยสิ่งที่มันปฏิเสธจากภายใน ถ้ามันเห็นสภาวะของมัน มันจะหดตัวเข้ามา จิตมันจะหดตัวเข้ามา หดตัวเข้ามา หดตัวจนเป็นอิสรภาพของมันเห็นไหม เนี่ยมันมาจากกันที่ตัวจิต ตัวจิตต่างหากที่ไปยึด กายนอก กายใน กายในกาย สลัดทิ้งหมดเลย สลัดทิ้งหมด ไม่เป็นไร จิตมันพ้นออกไป พ้นออกไป มันไม่พ้นออกไปไหนเพราะมันเป็นภพ มันเป็นตัวภวาสวะ มันเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนมาก การจะเข้าไปหาต้นขั้วของอวิชชา อวิชชา เนี่ยตัวภพเฉยๆ มันเป็นอย่างไร เนี่ยสิ่งที่เป็นไป

เรามีการศึกษานะ ถ้าเราไม่ได้ทำวิทยานิพนธ์ เราไม่ได้ทำความรู้สึกของเรามา ความรู้เราจะมีไหม ความรู้เราไม่มีหรอก แต่โลกเขาทำกันได้ โลกเขาจ้างวานกันได้ โลกเขาหลีกเลี่ยงกันได้ แต่ถ้าเป็นธรรมเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เลย ถ้าจิตมันไม่รู้จริงของมัน มันจะคายตัวมันเองไม่ได้ จิตมันต้องรู้จริงของมัน มันถึงคายตัวมันเองได้ ถ้าจิตมันคายตัวมันเองได้ แล้วจิตมันจะเกิดอีกไหม จิตที่มันต้องเกิดอีกเพราะจิตมันโง่ เพราะจิตมันไม่เข้าใจของมัน

มันถึงต้องเกิดอีกเพราะมีอวิชชา เนี่ยปล่อยกายทั้งหมดเข้ามาแล้ว มันตัวมันเป็นตัวอวิชชา จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส แล้วจิตที่ผ่องใสมันจะรู้ตัวมันเองได้อย่างไร อะไรมันผ่องใส ผ่องใสมันเกิดจากไหน ผ่องใส อะไรมันผ่องใส ดูสิ เรามีการกระทบกันเห็นไหม เราจะรู้ว่าสิ่งนั้นมีหรือไม่มีใช่ไหม แล้วตัวมันเอง มันต้องรู้จักตัวมันเองเห็นไหม ดูธรรมะสิ ธรรมะที่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้ามาที่ว่าละเอียดๆ คำว่าละเอียดๆ มันละเอียดที่สัญญา มันละเอียดที่คำพูดว่าละเอียดๆ ละเอียดๆ สร้างให้มันละเอียดเฉยๆ

แต่มันไม่เห็นความจริง ถ้าความจริง มันละเอียดอย่างไร ถ้ามันละเอียดอย่างไร มันจะรู้จริงของมัน ถ้ามันรู้จริงของมัน มันจะย้อนกลับเข้ามาอย่างไร ตัวมันเองเห็นไหม ตัวมันเองมันต้องกลับไปหาตัวมันเอง ตัวอวิชชาเนี่ย แล้วมันจะย้อนกลับไปทำลายตัวมันเอง สิ่งที่มันทำลาย ทำลายด้วยมรรคญาณนะ แต่ถ้าเป็นทางโลกทำไม่ได้ ถ้าเป็นโลกนะ มันจะสงวนรักษา สิ่งที่สงวนรักษา มันก็บอกว่า มันไม่มี มันจะหลบหลีกๆ อยู่ตลอด ว่าสิ่งนี้พ้นแล้ว พ้นแล้ว ไม่มีหรอกกิเลสไม่มี ก็ตัวที่มันพูดนั่น มันไม่มีแล้วมันพูดได้อย่างไร

ถ้าไม่มีอะไรพูดออกมา ไม่มีแล้วฐานที่ตั้งอยู่ที่ไหน ฐานที่ตั้งของใจมันอยู่ที่ไหน ฐานที่ตั้งของใจอยู่ที่มันเนี่ย แล้วอยู่ที่มันแล้วจะย้อนกลับไปทำลายมันได้อย่างไรเห็นไหม เนี่ยถ้าคิดโดยวิทยาศาสตร์ คิดโดยโลกเป็นไปไม่ได้เลย แต่ทำไมองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาได้ล่ะ ทำไมองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าทำลายมันมาแล้ว ทำลายอวิชชามาแล้ว ทำลายผู้รู้ ทำลายผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เจอพุทธะที่ไหนต้องฆ่าพุทธะก่อน พุทธะคือผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานเห็นไหม ดูสิมันเกิดมาจากไหน

เกิดมาเป็นคน วิญญาณปฏิสนธิมันเกิดมาจากไหน แล้วถ้ามันเข้าไป เข้าไปทำลายอย่างไร มันเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไปนะ มันต้องมีมรรคญาณ มีปัญญา มีธรรมะ มีธรรมจักร จักรอันนี้มันจะหมุนเข้าไป มันทำความสะอาดของใจเข้าไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ จนถึงที่สุดนะ ถึงสมดุลแล้วมันจะขาด ขาด ขาด คำว่าขาดคือกิเลสมันตาย พอกิเลสมันตาย จิตมันก็ปล่อย มันก็อิสระเข้ามา อิสระเข้ามา อิสระเข้ามาจนถึงตัวมันเอง ตัวมันเองคือตัวจิต นี่คือตัวพญามาร เห็นไหมมารในบุคคลาธิษฐาน ในพระไตรปิฎกเห็นไหม มารนี่คอตกบอกว่าพระพุทธเจ้าจะพ้นไป จากมาร

นางตัณหา นางอรดีเห็นไหม ลูกสาวบอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวจะไปจัดการให้ ดูสิ นางตัณหาความโลภ ความโกรธ ความหลงเนี่ย มันยังหยาบๆ เลย แล้วพ่อมันน่ะ แล้วพ่อมันอยู่ที่ไหน เราไปดูบุคคลาธิษฐาน เราไปดูแต่ภาพวาด เราไปดูแต่ข้างนอกว่าสิ่งนั้นคืออวิชชา สิ่งนั้นคืออวิชชาแล้วตัวมันน่ะ ก็ความรู้สึกเรา ก็สิ่งที่พาเกิดพาตายเนี่ย เพราะอะไร เพราะพระอนาคาไปเกิดบนพรหมนะ สิ่งที่ไปเกิดบนพรหมเพราะมันยังมีภพอยู่ มันยังมีความรู้สึกอยู่ สิ่งอันนี้มันมีความละเอียดขนาดไหน มันก็มีความรู้สึก แล้วความรู้สึกที่ละเอียดเนี่ยจะเอาอะไรไปจับมัน

ถ้าจับมันถึงเป็นอรหัตตมรรค อรหัตตมรรคเนี่ย สติปัญญาเนี่ย ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ย้อนกลับเข้าไปหาตัวมัน พลังงานที่กลืนกินเข้าไปตัวพลังงานเองนะ พลังงานทุกๆ อย่างเป็นพลังงานที่ส่งออกใช่ไหม แต่พลังงานอย่างนี้ ตัวพลังงานน่ะกลับไปทำลายตัวพลังงานเนี่ย มันไม่มีการกระทบ อรหัตตมรรคนี่ละเอียดอ่อนมาก สิ่งที่ละเอียดอ่อนนะถึงเป็นจุดเป็นต่อมขนาดไหน มีความรู้สึกมีเจ้าของแค่ไหนนั้นยังไปเกิดบนอนาคา ยังไปเกิดอยู่ สิ่งที่เกิดอยู่เห็นไหม มันก็ยังไม่สิ้นไปจากกิเลส ถ้าเข้ามาถึงที่สิ้นจากกิเลส มันจะเข้าไปกลืนตัวเข้าไป แล้วทำลายตัวมันเอง

สิ่งที่ทำลายตัวมันเองเห็นไหม พอทำลายตัวมันเองเนี่ยมรรคญาณ เนี่ยอรหัตตมรรค อรหัตตผล มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ นิพพาน ๑ เห็นไหม เราว่านิพพาน ๑ ก็มีอยู่ มันเป็นบุคคลาธิษฐาน มันเป็นสมมุติขึ้นมาให้สื่อความหมายกันทั้งนั้น ถึงที่สุดแล้วไม่มี ทำลายหมดเลย ทำลายแล้วอะไรไปเกิด สอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ อนุปาทิเสสนิพพานคือพระอรหันต์ที่สิ้นชีวิตแล้ว สิ่งที่มีอยู่คือเศษส่วน คือสิ่งที่เป็นประโยชน์กับโลก

ถ้าเป็นประโยชน์นะองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ๔๕ ปี เพื่อประโยชน์กับโลกเห็นไหม รื้อสัตว์ขนสัตว์ ปรารถนามาจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ไปแล้วสัตตะเป็นผู้ข้อง สัตตะคือสัตว์โลก สัตว์โลกคือสัตว์ที่มีหัวใจ แล้วมันชำระนี้ออกไปเห็นไหม มันจะเป็นประโยชน์กับเรา เราเกิดมาในพุทธศาสนา ถึงไม่เสียชาติเกิดไง ไม่มี ไม่มีศาสนาใด ไม่มีวิธีการใดจะให้จิตนี้พ้นเป็นอิสระขึ้นมาได้ เว้นไว้แต่พุทธศาสนา องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิญาณมาแล้ว รื้อค้นมาหมดแล้วไม่มี

แต่ทางวิทยาศาสตร์เห็นไหม รื้อค้นกันไป ทำกันไป ทำกันไปประสาโลกๆ แล้วเอาโลกเป็นใหญ่ ถ้าเอาโลกเป็นใหญ่นะ เราศึกษามาขนาดไหนก็ไม่ทัน แล้วถ้าเขาเอาโลก โลกคืออะไร โลกคือมายา โลกคือการเอารัดเอาเปรียบ โลกคือผลประโยชน์ แต่ถ้าเป็นธรรมนะ ธรรมมีการเสียสละ เสียสละตั้งแต่หัวใจ หัวใจขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม ไม่ปรารถนาสิ่งใดๆ เลย อานนท์! ไม่มีกำมือในเรา ไม่มีความลับความซ่อนเร้นในหัวใจขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า แบตลอดเลย เพียงแต่ว่าพวกเราเข้าไม่ถึง เพราะพวกเราหยาบเกินไป

เวลาองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์เห็นไหม ต้องเล็งญาณ ดูอำนาจวาสนา ดูอำนาจวาสนาว่าพูดกันรู้เรื่องไหม เราพูดเรื่องหนึ่ง คนฟังเข้าใจอีกเรื่องหนึ่งเห็นไหม นี่ก็เหมือนกันเราไปมองศาสนากันที่วัตถุ เราไปมองศาสนากันที่สิ่งต่างๆ แต่ตัวศาสนาคือตัวความรู้สึกนะ ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งต่างๆ เป็นวัตถุ เป็นวัตถุที่อาศัยเท่านั้นน่ะ เพียงแต่เป็นประเพณีวัฒนธรรม ประเพณีวัฒนธรรมเพื่อมันเป็นเปลือกไง ดูสิบรรจุภัณฑ์ เขาทำเพื่อให้สินค้าเขาขายได้

นี่ก็เหมือนกันบรรจุภัณฑ์เพื่อบรรจุศาสนาไว้ให้เห็นไหม ตู้พระไตรปิฎกเห็นไหม หนังสือพระไตรปิฎกเป็นตัวธรรม ตัวตู้ก็เป็นตัวตู้ นั่นก็เป็นวัตถุ แต่ถ้าเป็นความจริงล่ะ พระไตรปิฎกทั้งหมดชี้เข้ามาที่ใจ พระไตรปิฎกทั้งหมดชี้เข้ามาที่หัวใจของเรา ถ้าหัวใจของเรา หัวใจเราของเราคือตัวนามธรรม ตัวความรู้สึกอย่างนี้ ถ้าแก้ไขอย่างนี้ได้ มันจะเป็นประโยชน์กับเราเห็นไหม วันนี้วันสำคัญทางศาสนา เรามาเพื่อเคารพบูชาในเรื่องของศาสนาก็เท่ากับเคารพหัวใจของเรา เพราะว่าพุทโธคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้รู้ไง คือความรู้สึกไง เราเคารพที่นี่แต่เราหากันไม่เจอเห็นไหม เราถึงต้องวนกลับมาไง

พระออกธุดงค์กันเห็นไหม ออกธุดงค์ไปเพื่อหาใจตัวนี้ ออกธุดงค์ไปอยู่ป่าอยู่เขาเพื่อย้อนกลับมา ทวนกระแสกลับมา นี่เหมือนกันวันสำคัญทางศาสนา ตัวศาสนาคือหัวใจเรานะ ถ้าหัวใจของเรา พุทโธคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เราได้กระทำแล้วเราจะไม่ต้องมาเกิดอีก เราจะไม่ต้องทุกข์อีก ถ้าเกิดอีกก็ต้องทุกข์อีก มีการเกิดที่ไหนก็มีการทุกข์ที่นั่น แล้วถ้ามีการชำระสะสาง ถ้าไม่ชำระสะสาง มันเป็นการตะแบง มันเป็นการเอาสีข้างเข้าถูว่าได้ชำระสะสางแล้ว

มันพูดโดยกิเลส แต่มันยังต้องเกิดต้องตาย มันยังมีอยู่ เพียงแต่ยังปฏิเสธโดยความรู้สึก แต่ถ้าเป็นความจริงนะ ไม่ต้องปฏิเสธ ไม่ต้องทำสิ่งใดๆ มันเป็นสันทิฏฐิโก มันรู้เองเห็นเอง แต่ถ้าไม่จริงนะ มันพูดแต่ปาก แต่หัวใจมันเศร้าหมอง หัวใจมันฝังใจว่าสิ่งนี้คาใจเราอยู่ สิ่งนี้มันโกหกเราไม่ได้หรอก ความจริงความรู้สึกของเราเอง มันจะรู้เอง มันจะเข้าใจของมันเอง เป็นประโยชน์กับเรานะ ถ้าเราซื่อตรงกับเรา ซื่อตรงกับศาสนา แล้วเราจะไม่เป็นเหยื่อของกิเลส เอวัง